ผู้ออมเงินที่ผิดหวังกับการได้รับผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยจากการฝากเงินในธนาคารในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหมือนจะพบทางเลือกอื่นนั่นคือ “บัญชีกู้ยืมคริปโต” ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 18% หรือมากกว่านั้น ซึ่งมีคนนับล้านที่ได้เปิดบัญชีกู้ยืม
คริปโต ทำให้เกิดกลุ่มนักลงทุนกลุ่มใหม่ในสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตามบางคนรู้สึกเสียใจกับการลงทุนในคริปโตหลังจากการล่มสลายของสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทให้ยืมคริปโตอย่าง Celsius Network, Babel Finance และ Vauld จนนำไปสู่การระงับการถอนเงินของลูกค้า
1. การให้กู้ยืมคริปโตคืออะไร?
ในตอนแรกบัญชีกู้ยืมคริปโตจะดูเหมือนบัญชีออมทรัพย์ที่เปิดกับธนาคาร แต่บัญชีกู้ยืมคริปโตจะเป็นสกุลเงินดิจิตอลแทนที่จะเป็นเงินแบบดั้งเดิม โดยนักลงทุนเปิดบัญชีคริปโตแล้วฝากเงินสกุลเงินดิจิตอลและรับดอกเบี้ย นักลงทุนจำนวนมากฝากเงินใน Bitcoin ในขณะที่นักลงทุนส่วนหนึ่งลงทุนใน Stablecoin ซึ่งราคามักจะถูกตรึงไว้ที่ $1 นักลงทุนกลุ่มอื่นใช้สกุลเงินดิจิตอลที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักและมีความผันผวนมากกว่า โดยปกติบัญชีกู้ยืมคริปโตจะจ่ายดอกเบี้ยในสกุลเงินเดียวกันกับที่ฝาก บางบัญชีมีอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน ในขณะที่บางบัญชีเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่และเงินจะถูกล็อคไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
2. การให้กู้ยืมคริปโตใหญ่แค่ไหน?
การกู้ยืมคริปโตยังมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับการฝากเงินกับธนาคารแบบดั้งเดิมแต่เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัท Celsius กล่าวว่าบริษัทมีเงินฝากในสกุลดิจิตอลมูลค่าเกือบ 11.8 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ขณะที่ BlockFi Inc. ได้ประกาศในกลางเดือนมิถุนายนว่ามีเงินฝากมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ ส่วน Gemini Trust Co. เริ่มเสนอบัญชีคริปโตในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมในปีเดียวกันว่ามีเงินฝากมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์
3. ทำไมถึงสามารถจ่ายผลตอบแทนมหาศาลได้อย่างไร?
บริษัทที่เสนอบัญชีคริปโตกล่าวว่าพวกเขาสามารถให้กู้ยืมเงินฝากของลูกค้ากับนักลงทุนสถาบันรายอื่นได้ในอัตราตอบแทนที่สูงกว่า บางครั้งสถาบันเหล่านี้กู้ยืมคริปโตเพื่อดำเนินการซื้อ-ขายของตนเอง เช่น การเดิมพันว่าราคาของคริปโตจะลดลงหรือเพื่อใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของราคาในเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ทั้งนี้เป็นการยากที่จะรู้ว่าบริษัทให้กู้ยืมเงิน
คริปโตลงทุนอะไรเนื่องจากไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวสำหรับบริษัทให้กู้ยืมเงินคริปโตในการเปิดเผยว่าเงินฝากสามารถและไม่สามารถใช้ทำอะไรได้ เช่นเดียวกับเครื่องมือทางการเงินแบบกระจายอำนาจ (หรือ DeFi) ที่ดึงดูดนักลงทุนคริปโตด้วยการจ่ายดอกเบี้ยสูง
4. การให้กู้ยืมคริปโตแตกต่างจาก DeFi อย่างไร
Celsius, BlockFi และบริษัทให้กู้ยืมคริปโตอื่นๆ จะดีลและจ่ายดอกเบี้ยให้กับลูกค้าโดยตรง ส่วน DeFi อาจจะเป็นแค่รหัสคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เป็นตัวกลางที่บริหารจัดการการกู้ยืม การปล่อยสินเชื่อ และการจ่ายดอกเบี้ย การให้กู้ยืมคริปโตเพื่อรับดอกเบี้ยผ่าน DeFi บางครั้งเรียกว่าการทำฟาร์มผลผลิต yield farming ซึ่งต่างจากการออมคริปโตที่ผู้ถือสกุลเงินดิจิทัลปล่อยให้โทเค็นของพวกเขาถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในการทำธุรกรรมในบล็อกเชนหรือบัญชีแยกประเภทดิจิทัลที่ถูกใช้โดยเหรียญนั้น
5. ทำไมบริษัทให้กู้ยืมคริปโตบางบริษัทจึงประสบปัญหา?
การให้คนอื่นยืมเงินเพื่อการลงทุนมีความเสี่ยงเพราะหากการลงทุนของพวกเขาขาดทุนและไม่สามารถจ่ายเงินคืนให้คุณได้ คุณจะไม่เหลืออะไรเลย บริษัท Celsius, Babel และ Vauld ต่างก็ตำหนิสภาวะตลาดคริปโตว่าทำให้พวกเขาเจอปัญหาสภาพคล่อง บริษัท Celsius ทำการลงทุนครั้งใหญ่ในโทเค็นที่เรียกว่า stETH ซึ่งอนุญาตให้ออมคริปโตบน Ethereum blockchain และรับผลตอบแทนเพิ่มเติมผ่าน DeFi
ในขณะที่มูลค่าของสินทรัพย์คริปโตที่ลดลงอย่างมากในเดือนพฤษภาคมทำให้การซื้อขาย stETH มีราคาลดลงและโทเค็นในระบบมีสภาพคล่องน้อยลง นั่นทำให้ Celsius ระดมเงินเพื่อซื้อคืนโทเค็นได้ยากขึ้นเมื่อเจ้าของบัญชีต้องการถอนเงิน จนในเดือนมิถุนายนบริษัท Celsius ได้ระงับการถอนเงิน ซึ่งเทียบเท่ากับการแห่ถอนเงินในบัญชีธนาคารหรือ bank run
6. หน่วยงานกำกับดูแลจัดการอย่างไรกับการให้กู้ยืมเงินคริปโต?
หน่วยงานกำกับดูแลและผู้สนับสนุนด้านการลงทุนกังวลว่าผู้ลงทุนในบัญชีคริปโตไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังรับความเสี่ยงมากกว่าในบัญชีออมทรัพย์ของธนาคาร เนื่องจากบัญชีคริปโตไม่ได้รับการประกันโดย FDIC
ผู้ฝากเงินในบัญชีคริปโตอาจสูญเสียเงินฝากได้หากบริษัทให้บริการคริปโตล้มละลาย ถูกแฮ็ก หรือสูญเสียเงินทุน มีบริษัทที่ให้บริการบัญชีคริปโตเพียงไม่กี่แห่งที่ขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางสหรัฐก่อนเปิดให้บริการ และนั่นก็นำไปสู่การจัดการที่รุนแรง โดยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ในรัฐแอละแบมา เท็กซัส นิวเจอร์ซีย์ เคนตักกี้ และ เวอร์มอนต์ ได้ดำเนินคดีกับ BlockFi โดยกล่าวหาว่าบริษัทดังกล่าวเสนอหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน
นอกจากนี้หลายรัฐได้ทำการต่อต้าน Celsius ส่วน Coinbase Global Inc. มีแผนที่จะเสนอบัญชีที่คล้ายกันแต่ได้ยกเลิกข้อเสนอนั้นหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่าอาจฟ้องบริษัท Coinbase Global Inc.
ทั้งนี้ BlockFi ประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ว่าจะขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. สำหรับบัญชีที่จ่ายผลตอบแทนสูงให้กับลูกค้าสำหรับการให้กู้ยืมคริปโตของพวกเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ 100 ล้านดอลลาร์กับหน่วยเฝ้าระวังหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางและของรัฐ
7. อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในขณะนี้?
วิกฤตบริษัท Celsius และบริษัทคริปโตอื่นๆ อาจเร่งให้เกิดการใช้กฎระเบียบปราบปราม ผู้ดูแลทางการเงินดูเหมือนจะมองว่าสามารถนำกฎหมายและระเบียบมากำกับดูแลผู้ให้กู้คริปโตได้ง่ายที่สุด ท้ายที่สุดแล้วมีหน่วยงานที่ชัดเจนที่จะฟ้องบริษัท
คริปโตอย่าง Celsius และ BlockFi ซึ่งอาจเกิดการฟ้องบริษัทอื่นด้วย
8. จะเกิดอะไรขึ้นหากบัญชีคริปโตถูกพิจารณาเป็นหลักทรัพย์?
หากบัญชีคริปโตถูกพิจารณาเป็นหลักทรัพย์จะทำให้บริษัทเข้าสู่กฎเกณฑ์ใหม่ของการลงทะเบียนและข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยยิ่งขึ้น นั่นอาจหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับบริษัทคริปโตและอาจเป็นจุดสิ้นสุดของผลตอบแทนมหาศาลสำหรับนักลงทุน