พี่ต้น คุณเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้พูดถึงสถานการณ์ตลาดทุนที่น่ากังวลในเวลานี้ว่า แม้ตลาดจะมีการรับรู้ไปแล้วบางส่วนทั้งเรื่องของการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ แต่สิ่งที่ตลาดยังคงกังวลคือเรื่องสภาพคล่องของดอลลาร์ที่จะหายไป เมื่อยิ่งใกล้ถึงเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ย และเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัวลงจากสงครามและโมเมนตัมที่เกิดขึ้นก่อนหน้า รวมไปถึงตลาดยังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จากประมาณการเศรษฐกิจของ JPMorgan ที่ได้กล่าวว่า GDP จะมีการปรับตัวลดลงเกือบ 1 % แต่เงินเฟ้อะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 % เช่นกัน หมายความว่าเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันอยู่
หากถามว่าเวลานี้ถึงขั้นวิกฤตหรือยัง มองว่าอาจจะยังไม่ถึงวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาในแบบที่สถาบันการเงินจะล่มสลายเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 14 ปีที่แล้ว ด้วยปัจจุบันสภาพคล่องสถาบันการเงินในสหรัฐฯยังดีอยู่ กล่าวคือวิกฤตเศรษฐกิจหลัก ๆ แล้วจะอยู่ที่สถาบันการเงินเป็นหลักว่ามีการดำเนินการบริหารดีหรือแย่อย่างไรบ้าง หากว่าสถาบันการเงินยังคงเดินหน้าต่อไป วิกฤตก็อาจไม่เกิดรุนแรง เวลานี้มีความเป็นไปได้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกากับยุโรปจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมา และอีกประเด็นที่น่ากังวลคือเรื่องของพันธบัตรรัฐบาลรัสเซียที่เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ในตอนนี้
สำหรับการลงทุนในประเทศไทย ตอนนี้แม้ว่าหุ้นหลายตัวในประเทศไทยไม่ได้มีราคาถูก แต่ยังมองเห็นโอกาสที่จะมีการรีบาวด์กลับมาของเศรษฐกิจได้อยู่ ตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นดาวเด่นในปีนี้ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2 อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยที่น่ากังวล มีความจำเป็นที่จะต้องมาดูจุดกลับตัวของเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อเริ่มกลับมาลดลง ค่าเงินบาทก็มีโอกาสกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ทำให้มีเงินไหลกลับเข้ามายังประเทศไทย
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสไปต่อนั้น ต้องบอกก่อนว่าหากเล่นหุ้นตามผลประกอบการก็มีโอกาสแพ้สูง อย่างหุ้นกลุ่มพลังงานที่แม้ว่าเวลานี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นดี แต่อาจเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสั้น ๆ เท่านั้น ส่วนกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไรนัก เพราะว่าหากพันธบัตรเพิ่มขึ้น ต้นทุนเทคโนโลยีก็จะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น เวลานี้อาจต้องมาดูเรื่องของการลงทุนในพันธบัตรและกองทุนเป็นหลัก