ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนคริปโตฯ
ตลาดกำลังประเมินขอบเขตความเสียหายที่เกิดขึ้นและวิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
Sam Bankman-Fried ก้าวลงจากตำแหน่งประธาน FTX เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2565 และถูกจับกุมในบาฮามาสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเขาถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งข้อหา ฉ้อโกงทางโทรศัพท์ ฉ้อโกงหลักทรัพย์ และข้อหาฟอกเงิน
FTX ถูกกล่าวหาว่า ใช้บัญชีลูกค้าทำการซื้อขายที่มีความเสี่ยงผ่านบริษัทในเครือ Alameda Research
“ถือเป็นเรื่องน่าผิดหวังและเป็นเรื่องที่ร้ายแรงสำหรับนักลงทุน” Louise Abbott จากสำนักงานกฎหมาย Keystone Law ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการกู้คืนสินทรัพย์คริปโตฯและการฟอกเงินกล่าว
FTX สามารถพลิกโฉมอุตสาหกรรมคริปโตฯในอนาคตข้างหน้าได้ ภายใต้ 3 แนวทาง
1.ด้านกฎระเบียบ
ประการแรก หายนะที่เกิดขึ้นกระตุ้นหน่วยงานกำกับดูแล
อุตสาหกรรมคริปโตฯยังไม่ได้รับการควบคุมมากนักที่ผ่านมา หมายความว่า นักลงทุนจะไม่ได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับการวางเงินไว้กับธนาคารหรือนายหน้าที่ได้รับอนุญาต
โดยรัฐบาลทั้งในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรกำลังดำเนินการจัดการเรื่องนี้
ตลาดคริปโตฯ ในสหภาพยุโรป ถือว่ามีกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุมมากที่สุดในปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ Exchange รับผิดชอบนักลงทุนหากการลงทุนมีความเสียหายเกิดขึ้น
แต่ MICA ยังไม่มีกำหนดเริ่มกรอบกำกับนี้ Abbott กล่าววว่า สิ่งสำคัญคือหน่วยการกำกับดูแลต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
“นักลงทุนต้องเห็นว่ามีการกำกับดูแลเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความคุ้มครอง”
Evgeny Gaevoy ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Wintermute กลาวว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทั้ง Celsius, Three Arrows, FTX ได้รับผลกระทบที่เลวร้ายจากทั้งสองโลก จากการที่ไม่ decentralized อย่างสมบูรณ์ และไม่ centralized อย่างถูกต้อง”
Kevin de Patoul CEO ของ Keyrock บทเรียนที่ใหญ่ที่สุดจากการล่มสลายของ FTX คือ
“คุณไม่สามารถรวมศูนย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และไม่สามารถขาดการกำกับดูแลไปได้”
“เรากำลังพัฒนาไปสู่โลกที่มีทั้งการรวมศูนย์และการกระจายอำนาจ เมื่อมีการรวมศูนย์ ก็ต้องมีการดูแลและสมดุลของอำนาจที่เหมาะสม”
2. Consolidation
บริษัทและโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายหลังช่วง crypto winter ปี 2018 เช่นเดียวกับ FTX
แต่คาดว่าบริษัทและเหรียญใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นน้อยลงหลังจากนี้
BlockFi ซึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก FTX ก็ได้เข้าสู่ภาวะล้มละลายเช่นเดียวกันจากผลกระทบจาก FTX ตอนนี้ความสนใจกำลังหันไปหาบริษัทอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกันอย่าง Gemini และ Genesis
“ FTX และ Alameda นำไปสู่ความท้าทายของอุตสาหกรรมคริปโตฯ” Peter Smith CEO ของ Blockchain.com กล่าว
Marieke Flament CEO ของ Near กล่าวว่า “บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ของ FTX มากนัก แม้การล้มละลายของ FTX จะเป็นเรื่องน่าตกใจ”
โดย Near Foundation อยู่เบื้องหลังเครือข่าย Blockchain ชื่อ Near และเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนจาก FTX
เขามองว่า การล้มละลายของ FTX ไม่น่าส่งผลกระทบทำให้โดมิโนทั้งหมดล้มลง แต่จะเกิดผลกระทบต่อโครงการจำนวนมากจะไม่มีเงินทุนสำหรับพัฒนาต่อไป
ความกังวลด้านการเงินใน Exchange ใหญ่ ๆ เริ่มมีมากขึ้น
ตั้งแต่ปี 2020 กว่า 900,000 บิทคอยน์ ไหลออกจาก Exchange (ข้อมูลจาก CryptoQuant)
Exchange ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Binance กำลังเผชิญคำถามเกี่ยวกับเงินสำรอง ทำให้มีเงินไหลออกจากหลายพันล้านเหรียญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้จะดูไม่มีเหตุที่ Binance ถูกสงสัยว่ามีความเสี่ยงที่จะล้มละลายเช่นเดียวกับ Exchange อื่น ๆ แต่ทั้ง Binance และ Coinbase กำลังเผชิญภาวะท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า จะมีบาง Exchange ที่ยังทำสิ่งที่ถูกต้องและจะอยู่รอดต่อไป
เช่นเดียวกับ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีอายุยืนยาวที่สุด อาจอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเหรียญอื่น ๆ
“ผมขอเดิมพันว่า Bitcoin และ DeFi จะแยกออกจากคริปโตฯและมีชีวิตของมันเอง” Gaevoy จาก Wintermute กล่าว
3. นวัตกรรม
แม้ว่าตลาดคริปโตฯ ณ ขณะนี้จะอยู่ในภาวะตกต่ำ แต่อุตสาหรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ยังมีแนวโน้มที่จะผ่านพ้นไปได้โดยอ้างถึง Web3 ที่จะนำไปสู่การใช้ Blockchain ในแบบนี้ที่เป็นนวัตกรรมมากขึ้นแทนที่จะใช้เพื่อเก็งกำไรอย่างในปัจจุบัน
Flament ให้ความเห็นว่า หลายบริษัทเริ่มเดินหน้าสู่นวัตกรรมเกี่ยวกับดิจิทัลและเมตาเวิร์สมากขึ้น เพราะพวกเขาเข้าใจแล้วว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะมาและจะไม่หายไป
เช่นเดียวกับ NFTs
“สินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากขึ้น ผู้คนอาจใช้ NFTs เพื่อระบุตัวตน หรือใช้เป็นตั๋วเพื่อเข้าร่วมงานอะไรสักอย่าง”
Ian Rogers จาก Ledger บริษัท Crypto Wallet กล่าว
อย่างไรก็ตาม Cordel Robbin-Coker CEO Carry1st บริษัทเกมมือถือมองว่า การสร้างกระเป๋าเงินและการจัดเก็บกุญแจยงเป็นเรื่องยาก
เขาเทียบ Web3 ในยุคปัจจุบันนี้กับอินเทอร์เน็ตในช่วงต้นยุค 90s “มันเป็นอะไรที่ยุ่งยาก ต้องใช้เวลากว่าจะเรียนรู้ จะมีแค่ผู้ใช้บางส่วนเท่านั้นในตอนแรก (early adopters) แต่เมื่อเวลาผ่านไป การใช้งานง่ายขึ้น และจะถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น”