Bitcoin เป็นขาลงแล้วหรือยัง?
สำหรับระยะสั้นและระยะกลาง ถือว่ายังมีปัจจัยเชิงลบหลายอย่างจนทำให้ตลาด Risk Off โดยปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ มาจาก FED ที่ไม่ใช่แค่ทำ Tapering และขึ้นดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยเรื่องการลดขนาดงบดุลของ FED อีกด้วย และเมื่อพิจารณาจากสถิติ 4 Year Cycle ของ Bitcoin หลังจากมีการ Halving แล้ว ในปี 2022 ก็น่าจะเป็นปีที่ Bitcoin เป็นตลาดหมี
อีกทั้งปี 2021 ที่ผ่านมา กลุ่มวาฬก็ได้มีการทำกำไรมหาศาลจากตลาดคริปโต ทำให้หลังจากนี้จะเป็นช่วงเทขายเพื่อทำกำไร อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีมุมมองเชิงลบถึงขั้นตลาดลงอย่างรุนแรงเหมือนปี 2018 และเรื่อง DeFi ก็ถือว่าหลุดจากยุคขายฝันมาแล้ว สำหรับระยะยาว ประมาณ 2 ปีขึ้นไป มองว่า Bitcoin ยังเป็นขาขึ้นอยู่
การประเมินราคา Bitcoin
หากจะประเมินราคา Bitcoin ในเชิงมหภาค Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคงความมั่งคั่งของนักลงทุนและเป็นตัวแทนของ Fiat Money (เงินตรา) และตราบใดที่โลกของเรามีปริมาณเงินของธนาคารกลาง (Money Supply) เพิ่มขึ้นในระยะยาว เชื่อว่าราคา Bitcoin จะมีความสัมพันธ์กับ Money Supply คือเมื่อ Money Supply ลดลง มูลค่า Bitcoin ก็มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกัน
และหากประเมินในเชิง Cash Cost ด้วยต้นทุนการขุด Bitcoin ที่ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 เหรียญ เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาลงมาใกล้เคียง Cash Cost นั่นอาจเป็นจุดต่ำสุดของราคาแล้ว ขณะเดียวกันยิ่งราคาขายต่างจาก Cash Cost มากเท่าไหร่ ณ ตอนนั้นอาจจะเป็นช่วงที่ราคา Overvalue แล้วเช่นกัน
และอีกหนึ่งวิธีของการประเมินราคาของ Bitcoin คือการประเมินราคาเชิงพฤติกรรมของคนในตลาด (Behavioral) ARK Invest ได้จัดทำกรอบความคิดที่ใช้ในการประเมินมูลค่าเชิงพื้นฐานโดยแบ่งเป็น 3 ระดับ(Layer) ตามพีระมิด ได้แก่ Layer 1 (ฐานล่างสุดของพีระมิด) คือการวิเคราะห์สุขภาวะของโครงข่าย (Network Health) โดยจะดูความโปร่งใสของนโยบายการเงิน ว่าโครงข่ายใน Bitcoin มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ มีความปลอดภัยไหม และ มีคนใช้งานเยอะไหม ส่วน Layer 2 (ตรงกลางของพีระมิด) คือการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ซื้อขายโดยดูแต่ละกระเป๋าว่ามีการซื้อ ขาย เปลี่ยนมืออย่างไรปริมาณเท่าไหร่ และสุดท้าย Layer 3 (บนสุดของพีระมิด) คือการหามูลค่าในเชิงมูลค่าสัมพัทธ์ โดยจะหาต้นทุนเฉลี่ยในแต่ละกระเป๋า และหาผลกำไรและขาดทุน
ผลสรุปจากการวิเคราะห์ Ratio จากพฤติกรรมของคนในตลาด พบว่าจำนวนกระเป๋าที่มี Bitcoin มากกว่า 0 นั้นยังเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา หมายความว่าแม้ราคา Bitcoin จะลงแต่ผู้เล่นก็ยังไม่หายไป และธุรกรรมยัง Active อยู่ โดยกระเป๋าที่ถือ Bitcoin มากกว่า 3 ปีขึ้นไปจะยังไม่ค่อยขายขณะที่จำนวนกระเป๋าที่ซื้อขายบ่อย ๆ ถูกถ่ายโอนไปสู่กระเป๋าที่ไม่ค่อยซื้อ ๆ ขาย ๆ
ขณะเดียวกันพบว่า คนที่ถือ Bitcoin ระยะเวลามากกว่า 3 ปี ขึ้นไปจะมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 17,000 เหรียญ ขณะที่คนที่ถือ Bitcoin ระยะเวลาน้อยกว่า 6 เดือนจะมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 57,000 เหรียญ ดังนั้น เมื่อคิดต้นทุนเฉลี่ยทั้งตลาด จะอยู่ที่ 24,000 เหรียญ หมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าราคา Bitcoin จะลงได้อีก (แต่ไม่ได้บอกว่าราคาจะลง)
ในด้านพฤติกรรมคนในตลาด คนที่ที่ถือระยะยาวยังมีการเก็บเพิ่มตลอดทาง แต่มีการเก็บในอัตราที่ช้าลง ขณะที่คนที่คนถือระยะสั้น ตอนนี้ขาดทุนไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม สุขภาวะของโครงข่ายยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
แนวทางจัดพอร์ต
ในช่วงตลาด Risk Off (มีความเสี่ยงสูง) เช่นนี้ แนะนำให้ถือ Stable Coin เป็นสัดส่วนประมาณ 50% หรืออาจเพิ่มถึง 70%-80% ได้ในช่วงที่ตลาดแย่สุด ๆ และ ถือเหรียญใหญ่ที่มีความมั่นคง เช่น Bitcoin ประมาณ 30% ที่เหลืออีก 20% เป็นเหรียญ Altcoin หรือในช่วงที่ตลาดแย่สุด ๆ อาจไม่ถือ เหรียญ Altcoin ในพอร์ตเลยก็ได้ ส่วนในช่วงที่ตลาด Risk On (มีความเสี่ยงต่ำ) แนะนำถือ Stable Coin ในสัดส่วนที่ลดลงและเพิ่มสัดส่วนการถือเหรียญ Altcoin ที่มีพื้นฐานดีเพิ่มมากขึ้นเป็นสัดส่วนประมาณ 40%
