Bitcoin จะมีโอกาสเป็นสกุลเงินหลักของโลกหรือไม่?

อาจารย์ต้ำ Bitcoin จะมีโอกาสเป็นสกุลเงินหลักของโลกหรือไม่ ?

หากถามว่า Bitcoin สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้จริงหรือ อาจารย์ต้ำอธิบายว่า มีประเด็นหลักที่คนมองว่าอาจไม่เหมาะที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน คือ การยอมรับ ราคาที่ผันผวน ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม (ซึ่ง Lighting Network เข้ามาแก้ตรงนี้แล้ว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องราคาที่ผันผวน  แต่ในเมื่อ Bitcoin สามารถใช้จ่ายและสามารถแปลงเป็นเงิน Fiat (สกุลเงินทั่วไปที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศ) ได้ทันที ดังนั้นความผันผวนของราคานั้นไม่เกี่ยว  หมายความว่าถ้ามองได้ด้านการแลกเปลี่ยนสินค้า และความผันผวน Bitcoin จึงถือว่าสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้

ส่วนเรื่องภาษีเป็นเรื่องของนโยบายกฎหมายในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไป ในประเทศไทยการใช้ Bitcoin เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนยังต้องเสียภาษี เพราะประเทศไทยยังมอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์ ดังนั้นจะเข้าภาษี Capital Gain Tax

รัฐไม่มีทางยอมให้ Bitcoin  มาเป็นเงินสกุลหลักแทนเงิน Fiat ได้ แต่ Permissionless Technology (เทคโนโลยีแบบเปิดสาธารณะ) ทำให้เราใช้งานได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือ ยื่นเอกสารใด เพียงแค่มี Wallet ก็ใช้งานได้เลย สิ่งที่ทรงพลังมากของ Bitcoin คือไม่มีศูนย์กลางและไม่มีใครเป็นเจ้าของ หมายความว่า ไม่มีใครสามารถสั่งให้มันหยุดทำงานได้ อาจมี ‘ช่วงที่สูญเสียความนิยม แต่ไม่มีวันตาย’  คำถามคือว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว รัฐจะทำอย่างไร จะตัดโอกาสจากประชาชนจากสิ่งนี้จริงหรือ เพราะมันห้ามกันไม่ได้ แน่นอนว่ารัฐบาลก็จะสร้าง CBDC (เงินสกุลดิจิตอลที่ออกโดยภาครัฐ) มาสู้  ข้อดีที่ดีกว่าเงินสดคือเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้เพื่อคุมความประพฤติประชาชน แต่การเป็นดิจิตอลไม่ได้แก้ปัญหาที่มันมีอยู่ ไม่ได้แตกต่างอะไรจากระบบที่ดีอยู่เดิม

เป็นเรื่องของ ‘ทฤษฎีเกม’ ที่จะมีทั้งประเทศที่ยอมรับและประเทศที่ไม่ยอมรับ ประเทศที่ยอมรับอาจเพราะ Bitcoin เป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างในประเทศอัลซาวาดอร์ที่ใช้ดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักอยู่เนื่องจากไม่สามารถสร้างเงินของประเทศเองได้ ทางออกคือใช้เงินที่ไม่มีใครควบคุมได้ดีกว่า คือไม่มีทางที่ทุกประเทศจะรวมใจกันแบน Bitcoin ได้ เพราะยังไงก็มีประเทศที่จะใช้มันอยู่ดี

การที่ประเทศไหนเข้าร่วมระบบของ Bitcoin ก่อนมักได้เปรียบ ประเทศที่เข้าทีหลังเสียเปรียบ หมายความว่า ประเทศที่เข้ามาทีหลัง ก็เริ่มสะสม Bitcoin ในราคาที่แพงกว่า สองคือความเสียเปรียบในด้านการติดต่อค้าขาย ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมก็จะหลุดโคจรไป มันเป็นการ ‘ปฏิวัติระบบการเงินโลก ด้วยวิธีที่ง่ายมาก คือ เอาตัวกลางออกไป และในด้านบริษัทที่เริ่มเก็บ Bitcoin ก็ใช้หลักคิดเดียวกัน

ประเด็นด้านจำนวน Bitcoin ที่มีจำกัดหรือน้อยเกินไปไม่มีผลต่อการเป็นสกุลเงินสกุลหลัก เพราะเงินสามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ และ Bitcoin สามารถแบ่งหน่วยย่อยได้มหาศาล เงินจำนวนน้อย หน่วยนึงก็มีมูลค่ามาก เงินจำนวนมากหน่วยนึงก็มูลค่าน้อย อาจารย์ต้ำมองว่า ดังนั้นไม่เกี่ยวกับว่ามันมีมากหรือน้อย  ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เงินจำนวนเท่าไหร่ก็มีเพียงพอต่อการใช้จ่ายเสมอ และราคาสินค้าก็จะปรับราคาตามหน่วยของมัน

อาจารย์ต้ำพูดถึงเงินที่แบ่งเป็น สามก๊ก คือ อเมริกา จีน และ Bitcoin ซึ่งยากมากที่จะบอกว่าแล้วในอนาคตก๊กไหนมีความได้เปรียบ เพราะอย่างที่บอกว่า Bitcoin ฆ่ายังไงก็ไม่ตายด้วยเทคโนโลยีของมัน และทางดอลลาร์และหยวนก็ตายยากเช่นกันเพราะพิมพ์เงินได้ไม่จำกัด และสองฝั่งกำลังฆ่ากันเอง จึงมองว่า Bitcoin เป็นทางเลือกมากกว่า ถ้ารัฐทำอะไรที่ทรยศประชาชนหมายความว่าประชาชนจะหันไปเพิ่งทางเลือก โดยเฉพาะในประเทศโลกที่สามที่วิ่งเข้าหา Bitcoin เพราะมันเสถียรกว่าเงินประจำชาติ จนวันนึง Bitcoin จะกลายเป็น ทฤษฎีดุลแห่งอำนาจ (Balance of  Power) ที่คอยคุมรัฐให้ไม่สามารถทรยศประชาชนได้ หรือทำได้น้อยลง จากแต่ก่อนที่รัฐใช้เงินเป็นตัวควบคุม แต่ Bitcoin ทำให้ประชาชนมีทางออก สุดท้ายจะมีจุดที่มีสมดุลระหว่างรัฐกับ Bitcoin

ในเมื่อมีการใช้ Bitcoin ในทางไม่ดี เช่นโจร หรือเงินใต้ดิน อาจารย์ต้ำอธิบายว่า Bitcoin ไม่ใช่ Zero Knowledge หมายความว่ายังสามารถตามหาที่มาที่ไปได้ เพียงแต่ตามยาก ต้องใช้ต้นทุนสูงในการติดตาม เช่น ถ้ามีการฟอกเงินเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวแล้วมีคนพยายามจะตามว่าคือใคร ก็ไม่คุ้มที่จะตาม แต่ถ้าเป็นอาชญากรรมที่มีผู้เสียหาย และความเสียหายนั้นมีมูลค่า ก็คุ้มที่จะจ้างบริษัทเพื่อติดตาม ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่า และเงินที่จะจ้างว่ามีพอไหม ถ้ามีมากพอก็ตามได้ เพราะจริง ๆ แล้ว Bitcoin เปิดเผยหมด

มีคำถามว่า Bitcoin คือการต้มตุ๋นที่ใหญ่ที่สุดในโลกจริงหรือไม่ อาจารย์ต้ำมองว่า เป็นไปได้ทุกอย่างแล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร Bitcoin ปลอมตัวมาเป็นแชร์ลูกโซ่  คนก็ซื้อเก็งกำไร แต่ถ้าศึกษามันจริง ๆ จะเริ่มเก็บออมและเห็นความสวยงามของมัน อาจจารย์ต้ำเสริมอีกว่าในมุมมองของบิตคอยน์เนอร์มอง Alts ที่มีเจ้าของส่วนใหญ่เป็นการหลอกลวง

ในด้านความปลอดภัยของการโอนเงินแบบ Lighting Network  อาจารย์ต้ำกล่าวว่าถือว่ามีความปลอดภัย เพียงแต่มีข้อจำกัดตรงที่ใช้งานยาก  แล้วพอใช้งานยากก็มีทางออกเดียวคือเอาไปฝากในกระเป๋าที่ปลอดภัยน้อยกว่าเชนหลัก แต่ความเสี่ยงก็ยิ่งลดลงไปตามจำนวนเงินที่ใช้

แล้ว Bitcoin ถูกทดแทนโดยเทคโนโลยีอื่นได้ไหม อาจารย์ต้ำคิดว่า ยากมาก เพราะสิ่งที่ Bitcoin ออกแบบมาคือ ‘สมดุลที่ไม่สามารถทำซ้ำได้แล้ว’ มีทางเดียวที่จะมีเหรียญอื่นมาแทน Bitcoin ได้นอกจากจะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าในทุกด้านแล้ว ต้องมีเครื่องย้อนเวลาด้วย  เพราะมีตัวแปรสำคัญที่ทำให้เหรียญอื่นทำไม่ได้คือช่วงขณะของการกำเนิดของ Bitcoin 

ส่วนเรื่องที่ Elon Musk ทวิต อาจารย์ต้ำมองว่า มีผลแค่ด้านราคาเนื่องจากแฟนคลับที่ติดตามเขา แต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการพัฒนา Bitcoin ได้ สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป Bitcoin จะวิ่งเข้าหาพลังงานสะอาดเองโดยไม่ต้องมี Elon Musk เพราะต้นทุนมันถูก มันเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์

ในด้านแนวคิดเรื่องการเอาสินทรัพย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต สำหรับอาจารย์ต้ำมีความเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลว่าใครมองว่า Bitcoin คืออะไร และจะออกแบบการลงทุนยังไง ส่วนตัวอาจารย์ต้ำคิดว่า Bitcoin เป็นเงินที่มูลค่าไม่ตาย ยังไงมันก็ดีกว่าถือเงิน Fiat การ Allocation ของอาจารย์คือ ไม่ถือเงิน Fait แต่ถือ Bitcoin นั่นคือการเดิมพันที่ว่า Fiat จะทำลายมันตัวเองและเรากำลังกระโดนลงจากเรือลำนั้น การถือ Bitcoin ไว้นิ่ง ๆ อาจเป็นเรื่องที่ทำยาก แต่ตราบใดที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนแปลง อเมริกายังพิมพ์เงินออกมาเรื่อย ๆ ก็จะถือ Bitcoin ต่อไป สุดท้ายขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะยอมรับ Bitcoin ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตมากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญคือต้องศึกษามันมาก ๆ  ในส่วนของอาจารย์ต้ำเอง ถือไว้ประมาณ 90% อีก 10% เป็นเงินซื้อกับข้าว