“เงินต้นงอกเงย”และ “โอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว” เป็นการลงทุนในฝันของนักลงทุนทุกคนจริงไหมครับ?
แต่ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ปีที่แล้วหลายคนสะบักสะบอมกับตลาดหุ้นไทยมากครับ (ปีนี้เอาใหม่ ๆ สู้ ๆ ครับ) หันไปดูอีกทีจะเห็นว่าตลาดสหรัฐกลับทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้หลายคนบ่นว่า “รู้งี้”
รู้งี้เริ่มเปิดใจเริ่มศึกษาการลงทุนในต่างประเทศก็ดี
รู้งี้เริ่มเปิดใจกระจายความเสี่ยงในต่างประเทศก็ดี
วันนี้ “ถามอีก กับอิก” คอลัมน์ #ลงทุนนอกโลก จะชวนมาดูโอกาสในการลงทุนในสหรัฐที่จะเป็นทางเลือกในพอร์ตของพวกเราได้ครับ ☺ คลิกไปดูภาพถัดไปเลยครับ ลุย!
ผมเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนครับว่าภาพรวมของ “Allianz Income and Growth” ลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง
ผมขอเรียกว่า นี่เป็น “กลยุทธ์การลงทุน 3 ขา” ครับ
ในภาพใหญ่จะเป็นการลงทุนในสหรัฐทั้งหมด โดยเน้นลงทุนใน 3 สินทรัพย์ทั้งหุ้นสหรัฐ, พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (US High Yield Bonds) และ หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertibles)
เป็นส่วนผสมที่ลงตัวทั้งโอกาสในการทำให้เงินต้นงอกเงย และโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ในขณะที่ความผันผวนก็ไม่มากนัก
แหม… เกริ่นมาซะขนาดนี้แล้ว ไปลุยดูภาพถัดไปเลยครับว่า กลยุทธ์แบบนี้มีดียังไงครับ
ชวนมาดูการลงทุนขาแรก การลงทุนในหุ้นสหรัฐ กันก่อนครับ
“กำไรต่อหุ้น ของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตได้เฉลี่ย ประมาณ 10% ในปี 2020” อ้างอิงข้อมูลจาก FactSet
เหตุผลส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวใช้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างต่ำ หรือการบริโภคภายในประเทศก็เติบโตแข็งแกร่ง
ภาพรวมตลาดสวยงามแล้ว แต่ไส้ในของพอร์ต “Allianz Income and Growth” สวยกว่าครับ เพราะผู้จัดการกองทุนเลือกที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงครับ
“กลุ่มหลัก ๆ ที่เข้าลงทุนได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มอุปโภคบริโภค”
ส่วนหุ้นหลัก ๆ ที่เค้าเข้าไปลงทุน พวกเรานักลงทุนไทยก็คุ้นเคยกันอยู่แล้วครับไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Amazon, Visa, Alphabet (บริษัทแม่ของ google) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้นำตลาด และมีแบรนด์ที่แข็งแรงทั้งนั้นครับ
การลงทุนขาที่ 2 คือ การลงทุนใน พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (US High Yield Bonds)
ธรรมชาติของพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง คือ การให้ผลตอบแทนต่อปีที่สูงมากครับ เพราะต้องชดเชยกับความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ที่สูงด้วยเช่นกัน
โดย “Allianz Income and Growth” เลือกที่จะลงทุนในพันธบัตรสหรัฐเพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรประเทศอื่น ๆ ในขณะที่ความเสี่ยงอาจจะน้อยกว่าเสียอีก
นอกจากนี้ยังใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงลงทุนมากถึง 236 หลักทรัพย์ (เช่นกลุ่ม ยานยนต์, เทคโนโลยี, สื่อ) ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในภาพรวมได้อีกทางหนึ่งครับ
สำหรับการลงทุนขาที่ 3 คือ การลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertibles)
ผมอธิบายสั้น ๆ ก่อนครับว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertibles) คือ หุ้นกู้ ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย แต่มีความเจ๋งคือเราสามารถเปลี่ยนหุ้นกู้เป็นหุ้นได้ในอนาคต (ตามราคาที่กำหนดไว้)
และความเจ๋งอีกข้อคือ กองนี้ลงทุนกระจายความเสี่ยงมากถึง 204 หลักทรัพย์ (เช่น กลุ่มสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่, IT, อุปโภคบริโภค) ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตได้ครับ
สังเกตจากสถิติย้อนหลัง 31 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า แม้ว่าตอนช่วงตลาดขาขึ้นผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าพอร์ตหุ้น แต่จุดที่น่าสนใจคือตอนช่วงที่ตลาดขาลง หุ้นกู้แปลงสภาพขาดทุนน้อยกว่าหุ้นเกือบครึ่งหนึ่งเลยครับ
ข้อดีคืออะไรครับ? ข้อดีคือ เป็นลูกผสมระหว่างหุ้นกู้และหุ้น คือเราสามารถรับดอกเบี้ยได้อย่างสม่ำเสมอในช่วงที่ตลาดขาลง และถ้าตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น กองทุนนี้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้น เพื่อรับโอกาสเติบโตสูงได้ครับ
เข้าใจภาพรวมแล้วไปดูความสวยงามของพอร์ตนี้กันครับ
ความสวยงามแรกคือ “เงินต้นงอกเงย”
ให้ดูภาพสถิติย้อนหลังก่อนครับ จะเห็นว่าในอดีต 31 ปีที่ผ่านมากองทุนที่ลงทุนทั้ง 3 ขา (หุ้นสหรัฐ, พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงและ หุ้นกู้แปลงสภาพ) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ใช้ได้ในทุกสภาวะตลาด
แต่ข้อสังเกตคือ ตอนที่ภาวะตลาดขาลง พอร์ตก็ยังบวกอยู่ได้ ทำให้การลงทุนสบายใจเหมาะมากสำหรับการลงทุนในช่วง 1-2 ปีนี้ที่ตลาดผันผวนมาก ๆ ครับ
ความสวยงามยังไม่หมดเท่านี้ครับ ถัดมาคือ “โอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว”
การที่ “Allianz Income and Growth” ลงทุนทั้งหุ้นกู้และหุ้นกู้แปลงสภาพทำให้มีดอกเบี้ยเข้ากองสม่ำเสมอ (และยังไม่น้บเงินปันผลจากการลงทุนในหุ้นอีก)
นี่แหละครับที่ทำให้ กองนี้มีความตั้งใจอยากจะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยอย่างสม่ำเสมอในอดีตที่ผ่านมาครับ
เหมาะมากสำหรับช่วงนี้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินทั้งโลกครับ
ความเห็นของถามอีก กับอิก
กลยุทธ์การลงทุน 3 ขา ของ Allianz Income and Growth นี้ แวบแรกจะเห็นว่าเป็นกองทุนที่มีการจัดวางโครงสร้างของพอร์ตได้ไม่เหมือนกองอื่นครับ
(เน้นการลงทุนทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และหุ้นกู้แปลงสภาพ)
“แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่า การจัดพอร์ตอย่างสมดุลแบบนี้ เป็นการดึงเอาจุดเด่นของการลงทุนทั้งสามประเภทมาไว้ในกองทุนเดียว” เป็นข้อดีทั้งโอกาสที่จะทำให้ “เงินต้นงอกเงย”และ “โอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว”
ในขณะที่การเน้นลงทุนหลาย ๆ สินทรัพย์ก็จะช่วยให้ลดความเสี่ยงภาพรวมของพอร์ตได้
ถามว่าเราจะจัดพอร์ตเองแบบนี้ได้ไหม? ก็คงยากตั้งแต่ไปลงทุนสหรัฐด้วยตัวเราเองแล้วครับ
แต่สิ่งที่ยากกว่า คือ การปรับพอร์ตให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมแบบนี้ด้วยตัวเราเองในระยะยาวครับ ซึ่งพอร์ตนี้ ผู้จัดการกองทุนจะปรับพอร์ตให้เราตามภาวะตลาดเช่น เศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย ราคาหุ้น ทำให้เราสบายใจได้ระดับนึงครับ
แล้วถ้าถามว่ามีข้อควรพิจารณาไหม? มีครับ 1) ทุกอย่างไม่ได้มีการการันตีว่าจะได้ผลตอบแทนในอนาคตจะดีเหมือนในอดีต
2) ทั้งพอร์ตเป็นการลงทุนในสหรัฐ
เพราะฉะนั้นหากเกิดภาวะวิกฤตก็มีโอกาสที่ทั้งพอร์ตจะให้ผลตอบแทนไม่สวยงามได้เช่นกัน แต่การที่กระจายความเสี่ยงใน 3 สินทรัพย์ก็พอจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตได้ครับ
3) และอีกอย่างครับกองนี้มีการลงทุนในอนุพันธ์ด้วยเพราะฉะนั้นในช่วงที่ตลาดอาจจะไม่เป็นใจ มีความผันผวน ก็อาจจะทำให้กลายเป็นความเสี่ยงของพอร์ตได้เช่นกัน
ข้อดีเยอะมากแต่มีข้อควรพิจารณาหลายข้อเช่นกัน ดังนั้น “ถามอีก กับอิก” แนะนำว่าก่อนลงทุนในกองนี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้เข้าใจทั้งโอกาสและความเสี่ยงก่อนครับ
#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุดขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต #ถามอีกกับอิก #ลงทุนนอกโลก #ออกจากโลกใบเดิมโดยการเติมความรู้ต่างประเทศ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่สนใจลงทุนในกอง Allianz Income and Growth การลงทุนกับทาง Citigold เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ
อย่างแรก Citigold เป็นที่ปรึกษาแห่งเดียวในไทยที่สามารถกระจายการลงทุนได้ทั้งในประเทศและลงทุนโดยตรงกับกองทุนรวมต่างประเทศ
โดยความเจ๋งคือ เราสามารถลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ในเงินสกุลเงินต่างประเทศได้โดยตรงทำให้ลดขั้นตอนการทำธุรกรรมการเงิน และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสองต่อด้วยครับ
นอกจากนี้ Citigold ยังมีกองทุนให้เลือกตามประเภทสินทรัพย์ และความเสี่ยงของเราได้มากถึง 180 กองทุน จาก 6 บลจ. ไทยและ 12 บลจ. ต่างชาติชั้นนำทั่วโลก (Big Name ทั้งนั้น)
ที่สำคัญเป็นการลงทุนโดยตรง ไม่ต้องผ่าน บลจ. ไหน (เช่น เราสามารถซื้อกองทุนได้โดยตรงจาก AllianceBernstein, Allianz Global Investors, Franklin Templeton, PIMCO และ UBS เป็นต้น)
ข้อ 2: ซื้อตราสารหนี้ต่างประเทศได้โดยตรงจากบริษัทระดับโลก
เราสามารถซื้อตราสารหนี้ต่างประเทศ จากบริษัทชั้นนำกว่า 80 บริษัทได้โดยตรง เช่น Walt Disney, Apple, Coca-cola, Microsoft, Alibaba, Google Alphabeth ไม่ต้องผ่านตัวกลาง ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์อื่นๆ และสามารถเลือกบริษัทที่ตนเองสนใจได้เลยครับ
ข้อ 3. รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ที่ได้รับการ training จาก Wharton Global Wealth Institute นอกจากนี้ยังมี TWA (Total Wealth Advisor) ที่เราสามารถร่วมวางแผนการลงทุนกับทีมงาน เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น หากจะวางแผนให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศตอนลูกอายุ 18 ปี ตอนนี้ควรจะเลือกลงทุนกองให้และจำนวนเงินเท่าไหร่ ต่อเดือน/ต่อปีเพื่อ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้
ข้อ 4. ได้รับสิทธิพิเศษด้านการลงทุน และด้านไลฟ์สไตล์ของ Citigold ในทุกที่ที่มีธนาคารซิตี้แบงก์ ด้วยเครือข่าย Global Banking ของธนาคารฯ ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก ทั้งการเดินทางและการใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ สะดวกสบายมากครับ
นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นเพิ่มเติมเช่น Citibank Global Wallet ที่ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศของเราสะดวกขึ้น
โดยการแลกเงินไว้ในบัญชีสกุลเงินต่างประเทศและนำไปใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม interchange fee 2.5% โดยรองรับได้มากถึง 8 สกุลเงิน (USD, EUR, HKD, SGD, AUD, CHF, JPY, GBP) สามารถทำได้ง่ายๆผ่าน App Citibank Thailand ทำให้ลดขั้นตอนการทำธุรกรรมการเงิน และลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนโดยสามารถเลือกแลกเงินเก็บไว้ก่อนในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยดีด้วยครับ
โอ้โห เหมาะจริง ๆ กับคนที่ต้องการลงทุนต่างประเทศครับ สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ 02-081-0999