“หลักการลงทุนในภาพใหญ่ของคุณถูกหรือเปล่า ถ้าภาพใหญ่ของคุณถูก… คุณสามารถทำกำไรในระยะยาวได้โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ”
พี่เผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ (สตาร์ทอัพแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล (@JittaWealth) ถามจี้ใจดำนักลงทุน บนเวที “สุขยกกำลัง พอร์ตยกกำไร ด้วย WealthTech” ภายในงาน SET in the City 2019 ที่เพิ่งจบไปสด ๆ ร้อน ๆ ครับ
ชื่อหัวข้อน่ารักมากครับ และเวทีนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะมีสาวสวย ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อย่าง ดร. ปานระพี รพิพันธุ์ พิธีกรและผู้ผลิตรายการ “IT24Hrs”
และ พี่หมอนัท ธนัฐ ศิริวรางกูร เจ้าของเพจ “คลินิกกองทุน” มาร่วมแจมแบ่งปันประสบการณ์แบบชิล ๆ
บนเวทีพูดคุยอะไรกันบ้าง วันนี้สรุปมาให้แล้วครับ
เมื่อเทคโนโลยีเป็นเรื่องใกล้ตัว
พี่เอิ้น ปานระพียกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าเทคโนโลยีใกล้เราแค่ไหนแล้วด้วย “หุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่น ที่มีแทบจะทุกบ้าน” จนตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราแล้ว
ส่วนเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI หรือ machine learning เองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะจริง ๆ มีมานานแล้วครับ เพียงแต่ก่อนหน้านี้อุปกรณ์ หรือ hardware ต่าง ๆ ยังพัฒนาไม่ถึงขั้นที่รองรับความล้ำของ AI ได้เต็มประสิทธิภาพ
“สมัยที่ทำวิจัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คอมพิวเตอร์อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ กว่าจะประมวลผลได้” แต่พี่เอิ้น บอกว่าตอนนี้ อาจจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ประเด็นของพี่เอิ้น คือ ตอนนี้โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเราควรจะเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่หลายคนคิดและไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไปครับ
เมื่อ WealthTech เริ่มมีบทบาทมากขึ้น
WealthTech คืออะไร? พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เทคโนโลยีที่จะช่วยต่อยอดความมั่งคั่งให้กับพวกเราได้นั่นเองครับ
พี่เผ่าขยายความต่อว่า ตอนนี้ WealthTech แบ่งเป็น 2 แบบในภาพใหญ่ ๆ ครับ คือแบบ Active และ Passive ครับ
“Social trade (ซื้อ-ขาย ตามคนที่เราคิดว่าเค้าเก่ง) และ Digital brokerage (แพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อ-ขาย หุ้นทางดิจิตอล)” คือตัวอย่างของ Active ครับ เพราะเรายังต้องบริหารจัดการพอร์ตด้วยตัวของเราเอง
ส่วนตัวอย่างของ Passive คือ AI portfolio manager ที่จะมีหุ่นยนต์ที่จะช่วยจัดสรรการลงทุนให้กับพวกเรา ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของแต่ละบุคคลด้วย เช่น ความเสี่ยงที่รับได้และอายุของนักลงทุน เป็นต้น
“การสร้าง Wealth เหมือนกับการออกกำลังกาย ที่จะได้ผลที่ดีขึ้น เมื่อมีครูฝึกส่วนตัว” พี่เผ่าเปรียบเทียบซะเห็นภาพเลยครับ เพราะต่อให้เรารู้ว่าต้องออกกำลังกายยังไง แต่ก็ยังต้องจ้างเทรนเนอร์มาช่วยควบคุมให้เราออกกำลังกายได้ถูกหลักการ มีวินัย และไม่ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน
นั่นเลยเป็นที่มาว่า ทำไม WealthTech ถึงมีโอกาสเติบโตมากในอนาคต เพราะจะช่วยให้การลงทุนมีวินัยและมีโอกาสประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ
WealthTech อาจจะเป็นเทรนด์ที่มาช้าแต่เป็นเทรนด์ที่มาแน่ ๆ
“Consumer technology adopt ง่าย แต่ WealthTech ที่จะมาช่วยเพิ่มความมั่งคั่งจะมาช้ากว่า แต่มาแน่ ๆ” พี่เผ่าฟันธงครับ
อาจจะเป็นเพราะสินค้าเทคโนโลยี อย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เป็นสินค้าที่จับต้องง่าย และเห็นผลเร็ว ทำให้คนหันมาลองใช้ได้ง่าย แต่เทคโนโลยีที่จะช่วยต่อยอดความมั่งคั่ง หรือ WealthTech ต้องใช้เวลาให้คนเรียนรู้เพราะมีคนจำนวนมากที่ยังไม่ค่อยเชื่อ เนื่องจากยังเคยชินกับการมีที่ปรึกษาด้านการเงินที่เป็นคน
ส่วนเหตุผลที่พี่เผ่ามั่นใจว่าเทรนด์นี้มาแน่ ๆ เป็นเพราะคนรุ่นใหม่โตมากับเทคโนโลยี และคนจะเริ่มเห็นประโยชน์จากพลังของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
พี่หมอนัทเสริมทันทีว่า ตัวเค้าเองก็เชื่อว่า เทรนด์นี้จะมาแน่ ๆ ครับ เพราะตอนนี้โลกของ WealthTech พัฒนาไปไกลมาก ๆ “WealthTech เป็นมากกว่าแค่เรื่องลงทุนแล้วครับ จะมีบทบาทอย่างมากตั้งแต่ ตอนเรายังเด็ก ไปจนถึงตอนที่กำลังจะเกษียณ”
เช่น ช่วยเราวางแผนว่าถ้าเราอยากให้ลูกเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยชื่อดัง เราจะต้องเก็บเงินเดือนละเท่าไหร่ และต้องวางแผนการลงทุนยังไง
เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า WealthTech จะเป็นเทรนด์ใหญ่ที่น่าจับตามองอย่างมาก
AI จะมาช่วยลดข้อผิดพลาดของมนุษย์
พี่หมอนัท ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมีข้อผิดพลาดคล้าย ๆ กัน อยู่ 2 ข้อครับ “คือ ขายหุ้นหรือกองทุนเร็วไป หรือไม่งั้นก็ซื้อผิดจังหวะ”
และนี่จะเป็นสิ่งที่ WealthTech ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยประมวลผลจะช่วยลดข้อผิดพลาดให้กับนักลงทุนได้ เพราะจะช่วยตัดการใช้อารมณ์ในการลงทุน ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้การตัดสินใจลงทุนได้แม่นยำมากขึ้น
“ตอนนี้ AI ยังไม่ฉลาดเท่าคน แต่อีกไม่เกิน 5 ปี มีโอกาสที่จะเก่งกว่าคนได้” พี่เอิ้น เสริมข้อมูลให้ว่า ความโดดเด่นของ AI คือ ช่วยบริหารจัดการข้อมูลที่มีมหาศาลแบบไม่มีอคติในเวลารวดเร็ว อาจจะใช้เวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
โดย AI จะหารูปแบบความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ ทำให้ใครก็ตามที่ใช้ AI มีโอกาสชนะคู่แข่งได้ เพราะใช้ข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน ไม่ได้ใช้ความรู้สึกเหมือนกับคนส่วนใหญ่ครับ
พี่หมอนัท เล่าประสบการณ์ตรงของการลงทุนในกองทุน รัสเซียที่ใช้ AI ช่วยประมวลผลครับ
“AI ของกองนี้ตอนแรกจะมีเป็นร้อยตัว หลังจากนั้นเค้าจะให้มาวิ่งแข่งกัน AI ตัวไหนที่ให้ผลตอบแทนไม่ดี ก็จะถูกคัดออกจากระบบไป เก็บไว้แต่ตัวดี ๆ เท่านั้น” หลังจากนั้นเค้าจะคัด AI ที่เก่ง ๆ สัก 10 ตัวมาช่วยลงทุนในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น ตอนช่วงตลาดขาขึ้น ตลาดขาลง หรือช่วงตลาด Sideway เป็นต้น
ในขณะที่บ้านเราเอง ตอนนี้พี่หมอนัท ก็บอกว่าหลาย ๆ บลจ. ก็เริ่มนำระบบ AI มาใช้ในการช่วยคัดเลือกหุ้น ช่วยมาดูข้อมูล เช่นกัน
โอ้โห … โลกการลงทุนพัฒนาไปไกลมากเลยนะครับ
AI ที่ดีต้องถูกนำมาใช้ควบคู่กับหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
พี่เผ่าอธิบายว่า AI ที่เอามาใช้ในวงการบริหารความมั่งคั่ง Wealth Management มีอยู่ 2 แบบด้วยกันครับ อย่างแรก คือ AI ถูกนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุน ว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน ควรจะลงทุนสินทรัพย์อะไร จัดพอร์ตยังไง หรือ ควรจะบริหารเงินลงทุนแต่ละช่วงเวลาตามเป้าหมายอย่างไร
แต่อย่างที่สอง คือ การวิเคราะห์การลงทุน AI ยังไม่สามารถคาดการณ์ และวิเคราะห์การลงทุนได้แม่นยำ โดยเฉพาะหุ้น เพราะดาต้าที่นำมาวิเคราะห์อาจจะมีหุ้นปั่นเข้ามาก็ได้ ถ้าวิเคราะห์พลาดก็อาจจะขาดทุนเยอะ เลยต้องมีคนที่เข้าใจหลักการลงทุนมาคอย Supervise ควบคู่ไปด้วย
ดังนั้น AI ที่ บลจ. จิตตะ เวลธ์ นำมาใช้นั้นจะไปวิเคราะห์ที่ต้นเหตุ ว่าอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งก็คือการที่ธุรกิจดีและกำลังเติบโตขึ้น
ไม่ได้ไปจับที่ราคาหุ้น ว่าหุ้นไหนราคาขึ้นเยอะในช่วงจังหวะเวลาไหน เพราะนั่นเป็นแค่ปลายเหตุ ซึ่งอาจจะทำให้การลงทุนผิดพลาดได้
“เราเอากรอบการลงทุนหุ้นคุณค่ามาจากปู่บัฟเฟตต์ ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่เหมาะสม” พี่เผ่าพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเปรียบเทียบว่า การลงทุนซื้อหุ้นหนึ่งตัว ก็เหมือนแต่งงาน ต้องเลือกคู่ชีวิตที่ดี (ถ้าเลือกผิด ชีวิตอาจจะเปลี่ยนได้)
Jitta Wealth จะเข้าลงทุนตามอันดับของ Jitta Ranking ซึ่งจัดอันดับ หุ้นดีราคาถูก น่าลงทุนมากที่สุด โดยอิงหลักการลงทุนหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น แนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ แนวคิดวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ หลักการลงทุนเน้นคุณค่า และการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ โดยให้ AI ช่วยประมวลผลจาก data งบการเงินย้อนหลัง 10 ปีให้
“สิ่งสำคัญคือหลักการของคุณถูกหรือเปล่า ถ้าหลักการถูก ต่อให้วิกฤติมาจริง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ดีเสียอีกเพราะจะได้เก็บหุ้นดีในราคาที่ถูก” พี่เผ่าให้ข้อคิดที่น่าสนใจมากครับ
แม้ว่าจะเป็นหลักการที่ไม่ยาก แต่การวิเคราะห์หุ้นต้องใช้ข้อมูลมหาศาล และในชีวิตจริงนักลงทุนทั่วไปอาจจะไม่มีวินัยมากพอ
“นั่นเลยเป็นที่มาของ Jitta Wealth” ที่จะช่วยบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยี WealthTech ที่ใช้ AI วิเคราะห์หุ้นอยู่หลังบ้านครับ
วิธีคิดถูกต้อง ก็ทำให้ผลลัพธ์ถูกต้องตามไปด้วย
“ตามสถิติ Jitta Wealth ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 25.59% ในช่วงปี 2552-2561” มากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 18% เป็นสิ่งที่พิสูจน์วิธีคิดการลงทุนของ Jitta Wealth ได้เป็นอย่างดีครับ
ผมจะยกตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth จะได้เห็นภาพมากขึ้นครับ
===========
1. ใช้ AI ในการช่วยวิเคราะห์ธุรกิจ
“การวิเคราะห์หุ้นดี ที่มีราคาเหมาะสม” ตามสไตล์ของ Jitta Wealth จะดูหลายมิติครับ
พี่เผ่ายกตัวอย่างหุ้น 2 ตัว ที่แม้จะมีรายได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโตเท่ากัน แต่ระบบจะวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวไหนเติบโตดี อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะได้คะแนน Jitta Score ที่สูงกว่า หุ้นที่มีรายได้โตเท่ากันแต่เติบโตแบบขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ
ในขณะเดียวกันก็จะวิเคราะห์ความถูกความแพงของหุ้น โดยเทียบจาก Jitta Line ทำให้ได้หุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสมเสมอ ๆ
“AI จะประมวลผลเป็นล้าน ๆ ชุดข้อมูล ทำให้มีข้อผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ที่เราอาจจะวิเคราะห์ข้อมูลเพียงไม่กี่ชุด แล้วสรุปกันเอง”
เห็นภาพความเทพของ AI เลยนะครับ
2. กลยุทธ์กระจายความเสี่ยง
แต่การลงทุนเป็น infinite เกม ที่ไม่มีจุดจบตายตัว เพราะมีข้อมูลในอนาคตซึ่ง AI ก็ไม่สามารถวิเคราะห์หรือคาดเดาได้ เช่น โรงงานที่อาจจะเจออุบัติเหตุไฟไหม้, โดนยึดสัมปทาน หรือผู้บริหารอาจจะโดนให้ออก หรือแม้กระทั่งอารมณ์ที่ผันผวนของนักลงทุนในตลาด ทำให้การลงทุนอาจจะผิดพลาดได้ แม้ว่าจะวิเคราะห์ทุกอย่างมาเป็นอย่างดี
นั่นจึงเป็นที่มาของการกระจายลงทุนในหุ้น 20-30 ตัว ทำให้ผลตอบแทนจะถัวเฉลี่ยกันไป ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตได้ครับ
3. ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive Investment
พี่หมอนัทเล่าให้ฟังว่า การลงทุนแบบ active investment แม้ความตั้งใจของผู้จัดการกองทุนคือการสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าตลาด คอนเซปคือ ต้องมีการปรับพอร์ตให้ทันกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป นั่นหมายความว่าอาจจะต้องมีการซื้อๆขายๆหุ้นค่อนข้างบ่อยครับ)
พี่เผ่า เสริมว่า แต่ในชีวิตจริงจะต้องตัดสินใจหลายขั้นตอน ทั้งเลือกประเทศที่จะลงทุน และเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสข้อผิดพลาดได้มาก และมีข้อมูลสถิติที่บอกชัดแล้วว่า ยิ่งเราปรับพอร์ตบ่อย ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ลดลง
ทั้งนี้การถกเถียงเรื่อง การลงทุนแบบไหนระหว่าง passive หรือ active ที่ดีต่อการลงทุนระยะยาวได้จบลงแล้วนับตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วครับ
“เมื่อปู่บัฟเฟตต์ ได้ท้าให้ hedgefund ระดับเทพแข่งขันลงทุน โดยปู่เลือกลงทุนใน index fund” ซึ่งผลปรากฏว่าปู่ชนะขาดลอยครับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ซื้อ ๆ ขาย ๆ กองทุนเลยก็ตาม
นั่นจึงเป็นที่มาของตรรกะ เบื้องหลังของ Jitta Wealth ที่จะมีการปรับพอร์ตเพียงปีละ 1 ครั้ง (สำหรับเงินลงทุนแต่ละก้อน)
“ถ้าเลือกดีแล้ว ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ๆ ตามหลักคิดของ passive investment ไม่ต้องคอยเก็งว่าหุ้นตัวไหนกำลังจะมา เราสามารถลงทุนยาว ๆ ให้กองทุนทำงาน (สร้างผลตอบแทน) ไปเรื่อย ๆ” พี่หมอนัทปิดท้ายเรื่องนี้ได้ดีครับ
เทคโนโลยี ช่วยให้ค่าธรรมเนียมต่ำลง
“ถ้าสมมติว่า ลงทุน 1 แสนบาท เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยที่ไม่มีค่าธรรมเนียม” พี่หมอนัทหยุดให้คนคิดตาม และพูดต่อว่า เงินของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 380,000 บาท ภายใต้สมมติฐานว่าให้ผลตอบแทนประมาณ 7% ต่อปี
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามีค่าธรรมเนียมเพียงแค่ 2% ต่อปี แม้ว่าจะดูไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นระยะเวลา 20 ปี ก็จะทำให้เงินลงทุนหายไปกว่า 1 แสนบาทอย่างน่าเสียดายครับ
แหม… พูดซะเห็นภาพเลยนะครับ
และด้วยพลังของเทคโนโลยี ทำให้ Jitta Wealth สามารถขยายฐานของนักลงทุนได้โดยที่ต้นทุนไม่ได้เพิ่มมากนัก (เพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกับแพลตฟอร์ม และระบบ AI หลังบ้าน) ทำให้ Jitta Wealth สามารถคิดค่าธรรมเนียมในราคาที่ถูกมากได้นั่นเองครับ
พี่เผ่า เสริมโดยทันทีว่า “ผลตอบแทนในอนาคต ไม่มีใครสามารถการันตีได้ แต่ค่าธรรมเนียมที่ต่ำสามารถการันตีได้เลยว่า คุณจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่า ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน”
ความเห็นของถามอีก กับอิก
ผมชอบคำพูดของพี่เผ่า ที่บอกว่า “หลักการลงทุนในภาพใหญ่ของคุณถูกหรือเปล่า? ถ้าภาพใหญ่ของคุณถูก… คุณสามารถทำกำไรได้โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ เช่น การลงทุนในกองทุนดัชนีไปเรื่อยๆแบบอัตโนมัติ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว”
หลักการลงทุนภาพใหญ่ที่ Jitta Wealth นำมาใช้คือหลักการของปู่บัฟเฟตต์ นักลงทุนสไตล์หุ้นคุณค่า ไอดอลของคนทั้งโลกที่พิสูจน์มาทั้งชีวิตแล้วว่าประสบความสำเร็จครับ
อาจจะมีบ้างครับที่ระยะสั้นผลตอบแทนบางช่วงน้อยกว่าความคาดหวัง แต่ถ้าเราลงทุนที่ยาวนานมากพอ ผลตอบแทนก็มีโอกาสเติบโตได้อย่างสม่ำเสมออย่างยั่งยืน
และเราต้องยอมรับว่า ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยทุกคนที่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นด้วยตัวเอง เพราะอารมณ์ของตลาดจะทำให้เรามีความหวั่นไหว
ส่วนตัวมองว่า Jitta Wealth ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่จะทำให้นักลงทุนมีความสุขเหมือนกับชื่อหัวข้อสัมมนาในวันนี้ครับ “สุขยกกำลัง พอร์ตยกกำไร ด้วย WealthTech”
เบื้องต้นเราสามารถเลือกลงทุนได้ 3 ประเทศคือสหรัฐ, เวียดนาม และไทยครับ
อย่าลืมศึกษาข้อมูลที่ https://jittawealth.co/t/v27d ก่อนตัดสินใจลงทุนนะค้าบ
#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต #ถามอีกกับอิก