Michael Burry ได้เตือนว่า ชาวอเมริกันออมเงินน้อยลง กู้เงินมากขึ้นและใช้จ่ายเงินมากขึ้น พวกเขาละเลยเรื่องต่าง ๆ ในช่วงโควิดระบาด แนวโน้มเหล่านี้ส่งผลให้มีการจับจ่ายการบริโภคน้อยลงและส่งผลให้รายได้ของบริษัทน้อยลง
“การออมเงินส่วนบุคคลของชาวอเมริกันลดน้อยลงเทียบเท่ากับปี 2013
ส่วนอัตราการออมเงินลดลงมาเทียบเท่าปี 2008
ในขณะที่หนี้บัตรเครดิตเพิ่มมากขึ้นก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ที่แม้ว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลหลายหลายล้านล้านดอลลาร์” เขาทวีตข้อความเตือน “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง) และบริษัทเจอกับปัญหากำไรมากขึ้น”
กล่าวคือหากคนส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนี้มากขึ้น และเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากขึ้น พวกเขาก็มีแนวโน้มลดการใช้จ่าย ทำให้การเติบโตเศรษฐกิจลดลง แต่ส่งผลกระทบต่อกำไรของหลายบริษัท
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต้นทุนอาหาร, ก๊าซและที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นตัวเร่งเงินเฟ้อให้กับผู้บริโภคและทำให้พวกเขามีรายได้น้อยลง
Burry เป็นที่รู้จักจากการที่เขาวางเดิมพันว่า ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะแตกในช่วงปี 2007-2008 ซึ่งเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาเขียนหนังสือและทำภาพยนตร์เรื่อง The Big Short
เช่นกันเขามีส่วนช่วยให้หุ้น GameStop ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคมของปีที่ผ่านมา โดยที่เขาได้มีการลงทุนหุ้นตัวนี้มาก่อนหน้า และเขาได้เดิมพันว่าหุ้น Tesla ของอีลอน มัสก์และกองทุน Ark Innovation ของ Cathie Wood จะร่วงหนัก
ก่อนหน้านี้นายใหญ่ของ Scion Asset Management ได้กังวลเกี่ยวกับการบริโภคของชาวอเมริกัน
เขาทวีตในช่วงเดือนเมษายนว่า ประชาชนชาวอเมริกันมีความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น
หลังจากที่ช่วงโควิด-19 รัฐบาลได้แจกเงินให้ครัวเรือนชาวอเมริกัน การรีไฟแนนช์ และดอกเบี้ยเงื่อนไขพิเศษและมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจทางอ้อม
ฟังดูแล้วอาจเป็นมุมมองที่เป็นบวก แต่ Burry ได้ตั้งคำถามว่า คนส่วนใหญ่จะสร้างความมั่งคั่งกลับมาใหม่อีกครั้งได้อย่างไร
โดยมองว่า ความกลัวเงินเฟ้อทำให้ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่มไปมากกว่านี้
เช่นเดียวกับราคาสินค้าก็เพิ่มขึ้น, อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลง และทำให้มีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคนอเมริกันในที่สุด
#ถามอีกกับอิก #ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้ #TAMEIG