คุณชาตรี มีชัยเจริญยิ่ง หัวหน้าการลงทุนฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด ได้พูดถึงเหตุผลที่ทำไมนักลงทุนถึงควรมีหุ้นเวียดนามเอาไว้ในพอร์ตว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมีความแตกต่างไปจากตลาดหุ้นที่อื่น ๆ แม้ว่าตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นมีการปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นเวียดนามไม่ได้มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเหมือนกับตลาดที่อื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เก่งมากในช่วงที่สถานการณ์มีความผันผวนเช่นนี้ เศรษฐกิจในประเทศเวียดนามมีศักยภาพการเติบโตสูงมากถึง 6-7 % ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นกับการที่เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตขึ้นมาก แม้ว่าจะเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม เห็นได้จากการที่ GDP ไตรมาส 4 เวียดนามปีที่แล้วมีการเติบโตมากถึง 5 % และเติบโตได้ทั้งปีถึง 2 % ด้วยกัน
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นเวียดนาม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เสนอขายกองทุน Principal Vietnam Trigger 7M1 (PRINCIPAL VNTG7M1) มีการบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก (Active Management) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ สัดส่วนการลงทุน 50% ลงทุนใน Passive ETFs 50% ลงทุนในหุ้นรายตัว โดยคัดจากพื้นฐานของบริษัท
กองทุนมีเป้าหมายคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทน 7% ในตลาดเวียดนามได้ภายในระยะเวลา 7 เดือน ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยมีระยะเวลาการลงทุนระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนนั้น ทางกองทุน Principal Vietnam Trigger 7M1 Fund จะทำการลงทุนกับบริษัทดังต่อไปนี้
1. Masan Group Corporation: บริษัท holding company ที่มีชื่อเสียงในเวียดนามที่ประกอบธุรกิจหลัก ๆ 4 ธุรกิจด้วยกัน อย่างเช่น ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่, ธุรกิจทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม, ธุรกิจทางด้านการขุดเหมืองแร่และแปรรูปและเปิดธนาคารที่เน้นลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก
2. Vinhomes Joint Stock Company : บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ และอาคารพาณิชย์ต่าง ๆ รวมไปถึงสร้างที่อยู่อาศัยระดับกลางไปจนถึงระดับบน และมีการลงทุนโครงการหลายอย่างทั่วประเทศเวียดนาม
3. Hoa Phat Group Stock Company : บริษัทผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่และมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้น ๆ ของการจำหน่ายเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเวียดนาม อีกทั้งบริษัทนี้ยังมีการแบ่งธุรกิจออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันก็คือ ผลิตเหล็กและเหล็กกล้า, ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อย่างเช่นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและบ้านพักอาศัย และทำการเกษตร และบริษัทนี้เชื่อว่าสามารถเติบโตไปพร้อมกับ GDP ของเวียดนามและยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้สูง
ส่วนความเสี่ยงในการลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามนั้น สิ่งที่จะต้องมากังวลก็คือ เรื่องของความกังวลการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของ FED และความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต้องทำการจับตาเฝ้าดูในเวลานี้ ในส่วนสถานการณ์เวียดนามที่ต้องมาดูก็คือ เรื่องของการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อของเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือ 4 % ซึ่งการที่เงินเฟ้อในเวียดนามปรับเพิ่มสูงขึ้นนี้ อาจจะทำให้ธนาคารกลางเวียดนามต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น จะต้องมาดูเรื่องของการแข็งค่าของเงินบาทที่อาจจะกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุน เรื่องนี้จะต้องมาดูความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนด้วย