คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นักลงทุนหุ้นคุณค่าขวัญใจมหาชน ได้พูดถึงมุมมองภาพรวมตลาดในปีนี้ว่า เนื่องจากโควิดสายโอมิครอนดูเหมือนจะไม่รุนแรงและจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น รวมทั้งคาดว่าจะมีการเปิดประเทศทำให้ GDP ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เดิมมองว่าปีนี้ไม่น่าจะเป็นปีที่แย่ของตลาดหุ้นไทยนัก
จนกระทั่ง FED ได้ประกาศว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพราะภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่หลายคนคิดไว้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ FED เคยบอกว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ต่อเนื่องมาด้วยสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้โครงสร้างเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลง และแม้ว่าต่อไปรัสเซียกับยูเครนจะมีการทำข้อตกลงกันได้ แต่ราคาพลังงานที่สูงขึ้นมาก็จะไปลงมาอยู่จุดเดิมแล้ว
เวลานี้ภาพของ GDP ได้เปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่มในอุตสาหกรรม หากเราลงทุนในหุ้นอย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีก แม้จะมีบางตัวที่ฟื้นขึ้นมาแต่ก็ยังมีบางตัวที่ยังไม่ฟื้น อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกันที่ช่วงที่ผ่านมามีบางตัวที่ผลประกอบดี แต่ก็ยังมีบางบริษัทที่ผลประกอบการออกมาขาดทุน ดังนั้น การเลือกหุ้นลงทุนจึงไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบบ Top-Down ได้ จะต้องใช้กลยุทธ์ Bottom-Up คือ เลือกหุ้นจากงบบริษัทที่ออกมา ถ้างบบริษัทออกมาโดดเด่นกว่าคู่แข่ง เราต้องไปทำการบ้านต่อว่า บริษัทนั้นทำอย่างไรให้ผลประกอบการออกมาดี แล้วดูว่าไตรมาสต่อไปเป็นอย่างไร ซึ่งนักลงทุนรายย่อยต้องทำการบ้านหนักกว่าเดิม
สำหรับกลุ่มที่น่าจะไปต่อได้ มองว่าเป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกลุ่ม Non-Bank ที่มีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก อีกทั้งในเวลานี้กำลังซื้อในประเทศมีอยู่มากพอสมควร และคาดว่าดอกเบี้ยในประเทศคงไม่มีการปรับตัวมากและหากมีการกลับมาเปิดประเทศ กำลังการใช้เงินนคาดว่าจะมีมากกว่าหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา คนจะกลับมาใช้จ่ายกลับมาขยายธุรกิจ
แม้หลายฝ่ายจะกลัวเรื่องของการขึ้นของดอกเบี้ยแต่จริง ๆ แล้วผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยที่มีต่อธุรกิจมีผลเพียงแค่ 1% อีก 99% เป็นเรื่องของ NPL กับ Credit Cost คือถ้า Credit Cost ดี ธุรกิจก็มีเงินสำรองเพิ่มและสามารถเก็บหนี้ง่ายขึ้น