ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พูดถึงสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจนน่ากังวลว่า การที่เงินเฟ้อขึ้นไปถึง 5 % ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานที่ขึ้นถึง 2 % ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ด้านราคาน้ำมันนั้น แม้ในตอนแรกรัฐบาลจะปล่อยให้ราคาน้ำมันเกิน 30 บาท แต่ในระะยะสั้นรัฐบาลจะยังคงเน้นเรื่องของการคุมราคาน้ำมันเอาไว้อยู่
การคุมราคาน้ำมันกับการทำให้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่นั้นมีความคล้ายคลึงกันคือหากคงเอาไว้เรื่อย ๆ จนไม่สามารถคงได้ไหวอีกต่อไป ก็ต้องปล่อยให้ลอยตัว สุดท้ายจะทำให้ราคาน้ำมันวิ่งกระฉูด เหมือนในช่วงปี 1997 ที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจากตอนแรกอยู่ที่ 26-27 บาทต่อดอลลลาร์ สุดท้ายก็ขึ้นไปถึง 50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งการขึ้นแบบนี้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจ ท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลคงจะใช้วิธีการค่อย ๆ ให้ราคาขยับเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้
สำหรับวิธีการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น เวลานี้ประเทศไทยได้เปิดการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กับการลงทุนในธุรกิจโดยตรง สำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ชาวต่างชาติไม่ค่อยลงทุนในตลาดบ้านเรามานานแล้ว ส่วนหนึ่งที่นักลงทุนเข้ามาในเวลานี้มาจากการที่รัสเซียได้บุกยูเครน โดยรวมต้องบอกว่า ไม่ว่าจะลงทุนในหลักทรัพย์หรือลงทุนในธุรกิจโดยตรง ในระยะหลังเราขาดสิ่งที่เรียกว่า Growth Story เป็นสิ่งที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติได้เคยสัมภาษณ์ว่าในเวลานี้ประเทศไทยยังมีไม่มากพอ
ประเทศไทยขาดแคลนการลงทุนมาเป็นเวลาช้านาน สำหรับความหวังของเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ มองว่าประเทศไทยควรลงทุนในส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจที่จะทำให้เรามีการใช้น้ำมันน้อยลง และผลักดันด้านรถยนต์ไฟฟ้ามีบทบาททางเศรษฐกิจให้เร็วยิ่งขึ้นเพราะจะช่วยลดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวและทำให้ประเทศไทยไม่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมันมากจนเกินไป อีกทั้งประเทศไทยเองเคยมีการประกาศบนเวทีโลกแล้วว่า จะมีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยตรงส่วนนี้ได้