สงครามอัฟกานิสถานบานปลาย กระทบเศรษฐกิจโลกหรือไม่?

สงครามตาลีบันและอัฟกานิสถานครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะอะไร?

ปี 2001 สมัยประธานาธิบดี  จอร์จ บุช

จากเหตุการณ์ 9/11 โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายนำโดย “บิลลาเดน” มีการจี้เครื่องบินพาณิชย์และชนตึก World Trade Center  ต่อมาช่วงปลายปี สหรัฐฯจึงตัดสินใจบุกอัฟกานิสถาน หวังจับตัวบิลลาเดนซึ่งซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มตาลีบัน ทำให้กลุ่มตาลีบันแตกกระเจองและหนีไปตั้งหลักที่ปากีสถาน

จากนั้นสหรัฐฯเข้าคุมประเทศอัฟกานิสถาน โดยต้องการช่วยเหลือรัฐบาลให้มีการเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย โดยสหรัฐฯใช้งบประมาณปีละถึง 4 พันล้านเหรียญ จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญ

ปี 2003 

สหรัฐฯบุกอิรัก เพราะกลัวว่าจะเป็นภัยด้านการก่อการร้ายในอนาคต

ปี 2008 

เกิดวิกฤต “ซัปไพร์ม” ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯทรุดหนัก

ปี 2011 สมัยประธานาธิบดี โอบามา

บิลลาเดนถูกสังหาร และด้วยความที่เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังมีปัญหาจากวิกฤต จึงประกาศว่าจะเริ่มถอนกำลังทหาร เนื่องจากการสนับสนุนรัฐบาลอัฟกานิสถานนั้นทำให้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก 

ปี 2017 สมัยประธานาธิบดี ทรัมป์

สหรัฐฯประกาศถอนกำลังทหารอย่างชัดเจน และได้มีการเจรจากับกลุ่มตาลีบันโดยไม่มีรัฐบาลอัฟกานิสถาน โดยได้ทำข้อตกลง 3 ข้อในการถอนกำลังทหารออกจาก “อัฟกานิสถาน” ได้แก่

1. ตาลีบันจะต้องไม่สนับสนุนผู้ก่อการร้าย (อัลไกดะ และไอซิส)

2. ไม่มีการใช้ความรุนแรง

3. ต้องมีการเจรจากับรัฐบาลอัฟกานิสถาน เพื่อหาทางออกในการปกครองร่วมกัน

ปี 2021 สมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน

สหรัฐฯประกาศถอนกำลังทหารออกเกือบทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคมนี้ โดยต้องการหันไปมุ่งเน้นเรื่องภายในอื่น ๆ  อย่างการต่อสู้กับโควิด-19 การจัดการคู่ต่อสู้อย่างทรัมป์ และให้ความสำคัญกับจีนและรัสเซีย

การสู้รบครั้งนี้จะกระทบเศรษฐกิจโลกหรือไม่

สงครามครั้งนี้จะไม่กระทบกับเศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยที่กระทบเศรษฐกิจโลก ณ ตอนนี้ ได้แก่ 

1. ปริมาณการฉีดวัคซีน และความสามารถในการรักษาผู้ป่วยได้ หรือการมีอัตราการครองเตียงที่เพียงพอ เพราะแม้ว่ายังมีผู้ป่วยอยู่แต่ถ้าหากสามารถรักษาได้ เศรษฐกิจก็ยังเดินหน้าต่อไป

2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (Recovery Plan) ของประเทศมหาอำนาจ ถ้าการอัดฉีดหมดลง อาจทำให้การบริโภคหดตัวกว่าตอนนี้