ดร.นิเวศน์ มองหุ้นเวียดนามร่วงหนัก หลังเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่อย่างไร?

ดร.นิเวศน์ มอง หุ้นเวียดนามร่วงหนัก หลังเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่อย่างไร?

ย้อนหลังไปประมาณ 20 ปี ตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง และให้ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 15% ต่อปีเหมือนกับตลาดของไทยในช่วง 20 ปีแรก แต่สิ่งที่แตกต่างกันของตลาดเวียดนามกับตลาดไทยตรงที่การแพร่ระบาดของโควิดทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดนิ่งไป 3 ปีเต็ม และหลังจากการแพร่ระบาดจบมองว่าเศรษฐกิจไทยจะไปทางไหนยังไม่รู้ ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามหน้าเดินหน้าตลอดไม่มีติดลบ อานิสงค์จากภาคการส่งออกและภาคธนาคารที่โตขึ้นอย่างมาก และคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะโตเร็วอย่างมากหลังการแพร่ระบาดของโควิด จากตัวเลขด้านต่าง ๆ ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ และดัชนีเวียดนามที่ต่ำที่สุดในอาเซียน P/E ยังไม่ถึง 20 เท่า เมื่อเทียบกับศักยภาพในการเติบโต

โดยหุ้นที่ Out Perform (ให้ผลตอบแทนโดดเด่น) มาก ๆ ของเวียดนาม เป็นหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี ขนาดใหญ่ซึ่งโตเร็วมาก มี Market Cap มูลค่าตลาดหลายหมื่นล้านบาท (ขึ้นต้นด้วยตัว F) อาจเพราะมีวิศวกรเก่ง ๆ เยอะ ในขณะที่ต้นทุนค่าแรงถูกว่าฝั่งตะวันตก และอีกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ Out Perform ไม่แพ้กัน คือ ETF Diamond ซึ่งประกอบด้วยหุ้น Super Stock ประมาณ 12-13 ตัวที่โตขึ้นจากต้นปีประมาณ 30%-40% อีกทั้งนักลงทุนรายย่อยเวียดนามเล่นหนัก โดยมีปริมาณการซื้อขาย  3-4 ล้านหมื่นล้านต่อวัน  

หุ้นธนาคารและหุ้นปล่อยสินเชื่อก็ค่อนข้างน่าสนใจเพราะคนเวียดนามยังใช้ธนาคารพาณิชย์ไม่เยอะ มีหุ้นตัวนึงเป็นผู้นำ Consumer Finance ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ซื้อไม่กี่เดือนขึ้นเท่าตัว

แล้วการที่นักลงทุนรุมเข้าไปลงทุนในตลาดเวียดนาม บวกกับข่าวดีนักลงทุน เช่น การส่งออก กำลังซื้อที่มากขึ้น เป็นภาพที่เฉลยหมดแล้วหรือยัง ดร.นิเวศน์ มองว่า การที่หุ้นขึ้นเร็วต้องยอมรับว่าเป็นแรกผลักดันของรายย่อย แต่อย่างไรก็ต้องอิงกับ ปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นเหล็ก หุ้นสิ่งทอ รวมถึงด้านโครงสร้างพื้นฐาน  ในประเทศเวียดนามที่ยังไม่พัฒนามากทำให้มีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะหุ้นสนามบินหากลองเทียบหุ้นแบบ Shot ต่อ Shot กับประเทศไทยแล้วดูที่มูลค่าตลาด จะเห็นว่าเวียดนามยังเล็กกว่ามาก ให้ดูตัวที่มีโอกาสเป็น Super Stock ได้ อย่าง ห้าง(ค้าปลีก) สนามบิน หรือ Property ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนแนว VI  โดยการลงทุนระยะสั้นอาจเป็นธุรกิจดั้งเดิม อย่างสิ่งทอ แต่ในระยะยาว หุ้นด้านการค้าปลีกอย่าง VRE หรือสนามบินอย่าง VCN อาจชนะด้วยความที่เป็น Monopoly ธุรกิจผูกขาด

แล้วในมุมของความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวังหรือไม่ ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปีผ่านปี 2008 ก็เริ่มปฏิรูป รวมทั้งนโยบายใหม่ที่สนับสนุนเรื่องการลงทุน ทุกอย่างเริ่มเป็นมาตรฐาน และมีความพร้อม 

จุดเด่นของเวียดนาม คือจำนวนประชากร และค่าแรง แต่ถ้าเทคโนโลยีเข้ามาจะทำให้ตลาดในเวียดนามหมดเสน่ห์หรือไม่ ดร.นิเวศน์มองว่า ไม่น่ากังวล เพราะเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อย่างเช่น ห้าง ที่เวียดนามยังไม่มี หรือการตัดเย็บเสื้อผ้าที่ประเทศอื่นไม่ทำแต่เวียดนามทำได้ และชนบทของเวียดนามซึ่งเหมือนต่างจังหวัดบ้านเราสมัยก่อน ดังนั้นแม้เทคโนโลยีจะเข้ามา แต่ในระยะยาวมองว่าเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะเวียดนามยังไม่ถึงจุด Standard ระดับโลก

ในด้านหุ้นธนาคารพาณิชย์ ดร.นิเวศน์กล่าวว่า ให้เลือกธนาคารพาณิชย์ ที่ดีและปลอดภัย เพราะ Bank เป็นธุรกิจที่น่ากลัว หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้คนเจ๊งได้ Bank ก็พังไปด้วย แนะนำซื้อในระดับหนึ่งแล้วกระจายความเสี่ยง

ปัจจุบันเงินลงทุนไหลไปใน Diamond ETF เยอะมาก เป็นความเสี่ยงหรือเปล่า ดร.นิเวศน์กล่าวว่า ใน Diamond ETF มีหุ้น Bank อยู่ประมาณ 30%  และอีก 70% เป็นหุ้นตัว TOP  อย่าง Hi-Tech Super Retail และหุ้นเด่น ๆ อีกหลายตัว แปลว่าราคาของมันต้องอิงกับหุ้นเหล่านั้น  ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่ว่าคนซื้อเยอะ แต่ต้องดูว่า ซื้อแล้วหุ้นยังไม่แพง P/E เฉลี่ยไม่ได้สูง เพราะฉะนั้นถึงเงินทุนจะไหลเข้าไปใน Diamond ETF มากก็ ‘ช่างหัวมัน’

ดร.นิเวศน์กล่าวอีกว่า  เวียดนามมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนเยอะกว่า ดังนั้นให้อิงกับปัจจัยพื้นฐาน ให้มองภาพใหญ่ และดูในระยะยาวว่า บริษัทไหนแข็งแกร่งสุดในประเทศเพราะประเทศยังต้องเติบโต และสินค้าอะไรที่ยังต้องใช้ หุ้นตัวไหนที่โอกาสจะไปต่อได้สูงกว่า ต้องยอมรับว่าแม้ความผันผวนจะสูง แต่ถ้าเลือกหุ้นโดยอิงกับ Fundamental หุ้น VI มาแน่นอน