“ความไม่แน่นอน (ในตลาดโลก) ทำให้เพิ่มโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น” เป็นคำพูดเมื่อกลางเดือน กค. ที่ผ่านมาของคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐครับ
หลัก ๆ คือ สงครามการค้า, กำลังซื้อชะลอตัวลง, การส่งออกลดลง เป็นต้น
ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนมุมมองแนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลก จากเดิมที่ปีที่แล้วยังมองว่าน่าจะเป็นขาขึ้น แต่ตอนนี้ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังทยอยลดดอกเบี้ยกันใหญ่เลยครับ
“เรากำลังเฝ้าติดตามตัวเลข อย่างใกล้ชิดและจะทำทุกอย่างให้เศรษฐกิจไปต่อได้” คุณพาวเวล ตอกย้ำจุดยืนของนโยบายการเงินครับ
แต่ถามว่ายังมีโอกาสลงทุนไหม?
ตอบทันทีว่า “มี” ครับ
แต่ช่วงเวลาแบบนี้ คงต้องมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและยังมีโอกาสเติบโตได้
เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง… ไปลุยกันเลยครับ
REIT เป็นพระเอกให้ผลตอบแทนโดดเด่นมากในปีนี้
“นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคา REITs ในไทยเพิ่ม 13% บางช่วงบวกถึง 25%” โดดเด่นมากครับ
ผมเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนนะครับว่า REITs คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯครับ ปกติจะระดมทุนจากนักลงทุนเพื่อเอาเงินไปลงทุนในอสังหาฯรูปแบบต่าง ๆ เช่น โรงแรม สำนักงานให้เช่า คลังสินค้า เป็นต้น โดยจะได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในรูปแบบค่าเช่า
หลังจากนั้นก็จะนำเงินหลังหักค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน จ่ายให้นักลงทุนในรูปแบบเงินปันผล
ทำให้ปกติแล้ว REITs เป็นสินทรัพย์ที่ค่อนข้างนิ่ง ราคาไม่หวือหวาครับ
แต่ปีนี้มีปัจจัยพิเศษที่ทำให้ REITs ดูหล่อมาก บวกหนักมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าธนาคารกลางสหรัฐและหลายประเทศส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
และอย่าลืมว่า นักลงทุนรายย่อยหลายคน เข็ดกับการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนมาก ๆ ในปีนี้
“ทำให้นักลงทุนอยากมองหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงสม่ำเสมอ”
และจากรูป จะเห็นว่า REITs ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นในปีนี้
ก็เลยเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไม REITs ถึงเป็นสวรรค์ของนักลงทุนในช่วงนี้ครับ
1. ทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่ลงทุนก่อน
“คำถามที่ผมมักจะถูกถามเสมอคือ เอ… คุณอิก ถ้าจะเลือกลงทุนใน REITs ควรจะมีวิธีเลือกยังไง”
อย่างแรก ต้องทำความเข้าว่า สินทรัพย์ที่กอง REITs ลงทุนคืออะไร ข้อนี้สำคัญมากครับ ผมยกตัวอย่างจะได้เข้าใจมากขึ้นครับ
เช่น กรณีของ DREIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (เครือโรงแรมที่คุ้นหูกันดี)
ถ้าดูโครงสร้างการลงทุนในตอนนี้ก็จะดูซับซ้อนหน่อยครับ แต่อธิบายง่าย ๆ อย่างนี้ครับ “ไม่ว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมากหรือน้อยกองจะได้รับรายได้ค่าเช่าคงที่จากผู้เช่าซึ่งเป็นบริษัทในเครือของดุสิตธานี แต่ที่พิเศษคือหากมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมาก กองจะได้รับส่วนเพิ่มในรูปของค่าเช่าแปรผัน (ตามจำนวนนักท่องเที่ยว)” ทำให้เป็นข้อดีคือ มีรายได้ขั้นต่ำการันตีแน่นอน แถมยังมีโอกาสได้รายได้เพิ่มมากขึ้นตามจำนวน นักท่องเที่ยวที่เพิ่มด้วยครับ
“หลังจากนั้น กองก็จะหักค่าใช้จ่ายการบริหารงาน แล้วค่อยจ่ายผลตอบแทนเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์ครับ”
หลัก ๆ แล้ว เค้าลงทุนในโรงแรม และเท่าที่สังเกตเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวเท่านั้นครับ (ซึ่งข้อดีก็คือ มีอัตราทำกำไรสูง)
ปัจจุบัน ลงทุนในโรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน และโรงแรมดุสิตดีทู เชียงใหม่
และอนาคตกำลังจะเข้าไปลงทุนในโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ครับ
2. แอบดูผู้ถือหน่วยทรัสต์รายใหญ่
ข้อนี้จำเป็นเหมือนกันครับ เพราะเราจะได้เข้าใจว่าใครมีส่วนได้ส่วนเสียบ้าง
จะเห็นว่า ผู้ถือหน่วยมากที่สุดก็คือ บมจ.ดุสิตธานีที่ถือหุ้นในสัดส่วน 30.02% ทำให้อุ่นใจได้ว่าผู้บริหารจะยังคงมุ่งมั่นบริหารงานอย่างเต็มที่
ในขณะเดียวกันผู้ถือหน่วยมากที่สุด 7 อันดับแรก เป็นนักลงทุนสถาบันทั้งหมดเลยครับ
และส่วนใหญ่เป็นบริษัทประกัน ซึ่งเป็นข้อดีครับ เพราะปกติแล้วบริษัทเหล่านี้เน้นลงทุนระยะยาว เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ไม่ซื้อ ๆ ขาย ๆ ทำให้นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราเบาใจลงได้หน่อยครับ
3. มองเหตุผลการระดมทุนให้ขาด
“DREIT กำลังอยู่ในช่วงระดมทุนขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมครั้งที่ 1”
สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ เค้าจะเอาเงินไปทำอะไร?
สำหรับ DREIT เค้าบอกชัดเจนครับว่า จะนำเงินไปลงทุนโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ รีสอร์ทสุดหรูระดับ 5 ดาว ที่ได้รับสิทธิการเช่าระยะยาวจากรัฐบาลมัลดีฟส์ โดยภายหลังการเข้าลงทุนจะเหลือระยะเวลาสิทธิการเช่าเหลือประมาณ 40 ปี
“DREIT เริ่มขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเน้นไปที่สถานที่ยอดฮิตอย่าง มัลดีฟส์” ข้อสังเกตคือยังคงเน้นลงทุนระดับ 5 ดาวเพราะเป็น สิ่งที่กลุ่มโรงแรมดุสิตธานีทำได้ดี ได้รับการยอมรับ และเป็น segment ที่มีอัตราการทำกำไรที่สูง
มูลค่าลงทุนครั้งนี้ไม่เกิน 2,385.60 ล้านบาท เป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตได้มากครับ
“เท่าที่ผมเห็นรูป ต้องบอกว่า โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ สวยงามมาก ๆ ครับ เห็นแล้วอยากไปเที่ยวเลย ”
4. วิเคราะห์ศักยภาพในการเติบโตในประเทศ
ข้อนี้เป็นจุดที่สำคัญสำหรับนักลงทุนครับ แต่เนื่องจากว่า DREIT ลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในไทยและต่างประเทศ คงต้องวิเคราะห์โอกาสทั้งสองไปพร้อม ๆ กันครับ
เริ่มต้นวิเคราะห์จากประเทศไทยก่อนครับ
DREIT มีโรงแรมในไทยทั้งในหัวหิน ภูเก็ต และเชียงใหม่ สะท้อนให้เห็นว่า กองทรัสต์นี้พยายามจะยึดหัวหาด ทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของไทย และล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ทำเลทองของแต่ละพื้นที่ทั้งสิ้นครับ” กลายเป็นจุดแข็งระยะยาวครับ
ข้อสังเกตคือ สถิติจากกรมการท่องเที่ยวบอกว่า นักท่องเที่ยวไปภูเก็ต เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.5% ในช่วง 3 ปีล่าสุด
ในขณะที่ประจวบคีรีขันธ์ มีนักท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น 13% และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เชียงใหม่เองก็เพิ่มขึ้น 6.17%
“สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวในหัวเมืองหลัก ๆ นี้ยังเติบโตดี” และถ้าดูตัวเลขรายได้จะเห็นว่าสูงขึ้น 8-12% สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวมีโอกาสที่จะใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้น ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นโอกาส DREIT ที่จะทำรายได้สูงขึ้นในอนาคต
นี่ยังไม่นับปัจจัยบวก จากนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเปิดเส้นทางการบินใหม่ ๆ
5. วิเคราะห์ศักยภาพในการเติบโตในต่างประเทศ
“สาธารณรัฐมัลดีฟส์ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งของโลกด้านจุดหมายปลายทางของการดำน้ำ ซึ่งการท่องเที่ยวแบบ high-end” และน่าจะเป็นสวรรค์ของการท่องเที่ยวของคนอีกจำนวนมากครับ
สะท้อนจากตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจากกระทรวงการท่องเที่ยว สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ที่มีจำนวน เพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคนต่อปี เป็น 1.48 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.8% ต่อปีครับ
“เกาะที่โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ เลือกที่จะตั้งโรงแรมอยู่บนเกาะ Mudhdhoo Island” เป็นเขตสงวนชีวมณฑลแห่งเดียวของมัลดีฟส์ มีวิวทิวทัศน์และความงดงามทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก
สิ่งที่พิสูจน์ความสำเร็จคือ การเป็นขวัญใจของนักท่องเที่ยวโดยได้รับรางวัลเยอะแยะมากมาย เช่น ได้รับรางวัล “โรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในมัลดีฟส์” โดยบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของจีน
ได้รับตำแหน่งโรงแรมชั้นนำระดับสากลในมัลดีฟส์ จาก Booking.com ใน Guest Review Awards ครั้งที่ 7
และได้รับรางวัลสปาหรูของรีสอร์ท ประจำปี 2562 จาก Lux Life นิตยสารออนไลน์ด้านไลฟ์สไตล์หรูหราและมีระดับ ในสหราชอาณาจักร
รวมถึงรางวัลโรงแรมและห้องอาหารหรูหราประจำปี มัลดีฟส์ ในงานมอบรางวัลการเดินทางอย่างมีระดับ จากออสเตรเลีย
จะเห็นว่าภาพรวมกระแสการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์เองก็เติบโต และโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์เองก็มีจุดแข็ง ทำให้เป็นโอกาสในการเกาะกระแสการท่องเที่ยวบนเกาะ สวรรค์บนดินแห่งนี้ครับ
6. มองประโยชน์ในภาพรวมหลังการระดมทุนให้ออก
จุดที่น่าสนใจคือ การระดมทุนเพื่อไปลงทุนในโรงแรมที่มัลดีฟส์ จะช่วยให้ภาพรวมของ DREIT ดีขึ้นหลายด้าน เช่น
รายได้และ EBITDA ของมัลดีฟส์สูงกว่าโรงแรมในไทยที่มีอยู่ในพอร์ต นั่นหมายความว่ารายได้และกำไรจะเติบโตก้าวกระโดด
นอกจากนี้ โรงแรมที่มัลดีฟส์ มีอัตราเข้าพักที่สูงมาก ในขณะที่มีค่าห้องพักเฉลี่ยสูงกว่าในไทยเกือบ 4-6 เท่า (นักท่องเที่ยวยอมจ่ายราคาสูงขึ้น) ก็จะช่วยให้ผลการดำเนินงานของ DREIT ดีขึ้นเช่นกัน
ยังไม่นับว่า การระดมทุน DREIT รอบนี้จะมีบางส่วนที่กู้ยืมเงินเพิ่มเติม ถ้าการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายก็มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนได้เช่นกันครับ (เพราะช่วงนี้แนวโน้มดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาลง ทำให้ต้นทุนทางการเงินมีโอกาสลดลง)
7. มองโอกาสลดความเสี่ยงในภาพรวม
“กรณีของ DREIT” นอกจากผลตอบแทนโดยรวมมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นแล้ว ในมุมความเสี่ยงก็ถือว่าการเข้าไปลงทุนรอบนี้ทำให้โครงสร้างรายได้มีความเสี่ยงลดลงหลายด้านด้วยกันครับ
เช่น สัดส่วนรายได้จะไม่ได้พึ่งพิงรายได้จากทรัพย์สินในประเทศไทยเป็นหลักแล้วครับ สังเกตจากสัดส่วน EBITDA ภายหลังเข้าลงทุน จะมีรายได้จากทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 43% และมีรายได้จากทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 57% ทำให้ภาพรวมลดความกังวล กรณีที่เกิดเหตุที่ทำให้รายได้ท่องเที่ยวในประเทศสะดุดลงครับ
เมื่อเจาะลงไปดูไส้ในจะเห็นว่า ด้านนักท่องเที่ยวเองก็มีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้นจากเดิมที่ พึ่งพานักท่องเที่ยวจาก ไทย ยุโรป แต่ภายหลังจากการระดมทุน จะทำให้รายได้มาจากกลุ่มลูกค้า จีน ยุโรป ไทย รัสเซีย ไม่ต่างกันมาก ทำให้มีความหลากหลายมากขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงถ้าประเทศเหล่านี้มีปัญหาครับ
อีกมุมหนึ่งรายได้ของโรงแรมที่ปกติแล้วจะเป็นไปตามฤดูกาล seasonal ซึ่งช่วง ไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ของไทยจะมีรายได้ลดลงมาก แต่ภายหลังเข้าลงทุนในโรงแรม ที่มัลดีฟส์ซึ่งมีผลกระทบจากฤดูกาลน้อยกว่าช่วยให้รายได้ของโรงแรมมีความสม่ำเสมอมากขึ้น
เช่นเดียวกับการที่โรงแรมทั้ง 4 แห่งมีทั้งเป็นแบบ leasehold (สิทธิการเช่า) และ freehold (กรรมสิทธิ) ทำให้เป็นส่วนผสมระหว่างการได้เงินปันผลและเงินคืนทุนที่สูง (จากทรัพย์สินทั้ง freehold และleasehold) และการที่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ๆ (จาก freehold) สะท้อนให้เห็นว่าทีมผู้บริหารคิดวิเคราะห์รอบด้านจริง ๆ ครับ
ความเห็นของถามอีก กับอิก
กองทุนประเภท REITs เหมาะสำหรับการเก็บไว้ในพอร์ตเพื่อลดความผันผวนของผลตอบแทนในภาพรวมของเราครับ โดยเฉพาะช่วงดอกเบี้ยที่แนวโน้มขาลง ทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อปีของ REITs มีความน่าสนใจ
“ยกตัวอย่างผลตอบแทนเงินปันผล Dividend yield ของ DREIT ที่คาดว่าจะได้รับ หากคิดที่ราคาหน่วยทรัสต์ 5.90 บาท จะอยู่ที่ 8.07% กรณีที่มีการกู้เงิน” “และ 6.83% กรณีที่ไม่มีการกู้” สำหรับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเป็นเพียงการประมาณ ไม่ได้การันตีครับ
และถ้าดูจากผลตอบแทนย้อนหลังจะเห็นว่า DRIET จ่ายให้กับผู้ถือหน่วยเดิมตามที่แจ้งเอาไว้กับผู้ถือหน่วยตอนทำการแปลงสภาพกองทุน DTCPF เป็นกองทรัสต์ DREIT ที่ 0.4354 บาท/หน่วย (DTCPF ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น DREIT) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารให้ความสำคัญและพยายามตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
ข้อสังเกตคือ ผลตอบแทนงวดครึ่งปีแรกจ่าย มากกว่าครึ่งปีหลัง นั่นเป็นเพราะครึ่งปีแรกเป็นช่วง High Season ของโรงแรมในประเทศไทย ทำให้มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า (แต่อนาคตถ้าได้เข้าลงทุนโรงแรม ที่มัลดีฟส์ซึ่งมีผลกระทบจากฤดูกาลน้อยกว่าช่วยให้ผลตอบแทนระหว่างครึ่งปีแรก และครึ่งปีหลังแตกต่างกันน้อยลง)
ดังนั้น ช่วงที่จ่าย 0.1714 ที่ต่ำกว่านั้น เกิดจาก การจ่ายตามฤดูกาลที่รายได้จากผลการดำเนินงานของครึ่งปีแรกดีกว่าครึ่งปีหลังนั่นเอง
อีกจุดหนึ่งที่เจ๋งคือ กอง DREIT มีโครงสร้างการรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าสนใจมาก ตามที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นๆ จะเห็นว่า ทรัพย์สินของกองทรัสต์ DREIT นั้น มีผู้เช่าไปบริหารและจะต้องจ่ายค่าเช่าคงที่กลับมาที่ DREIT โดย 3 โรงแรมในประเทศไทยที่เป็นการลงทุนครั้งแรก จะต้องจ่ายค่าเช่าคงที่ปีละ 205 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมในดุสิตมัลดีฟส์ จ่ายค่าเช่าคงที่อีกปีละ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินบาทประมาณ 217 ล้านบาทที่อัตราแลกเปลี่ยน 31 บาทต่อดอลลาร์) และหากผู้ที่เช่าไปบริหารแล้วมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) เกินกว่าค่าเช่าคงที่ ก็จะต้องแบ่งตรงนั้นมาให้ DREIT อีกด้วย ตรงนี้แหละครับที่ช่วยสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับผู้ถือหน่วย DREIT ได้เป็นอย่างดี
“นอกจากนี้ เรายังมั่นใจได้อีกว่าธุรกิจโรงแรม เป็นหนึ่งในธุรกิจเมกะเทรนด์” เพราะเมื่อคนมีกำลังซื้อมากขึ้นก็อยากออกไปท่องเที่ยวมากขึ้น และธุรกิจโรงแรม 5 ดาว ไม่ใช่ว่าใครจะทำก็ทำได้ ต้องมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ทำให้มีโอกาสเติบโตอีกมากครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือ DREIT มีแนวคิดที่จะสร้างการเติบโตพร้อม ๆ กับดูเรื่องความเสี่ยงด้วยครับ
DREIT เลือกลงทุนโครงการที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ (ปกติช่วง 3-5 ปีแรกของการทำโรงแรมจะเป็นช่วงวัดใจว่า ธุรกิจจะไปต่อได้หรือไม่)
และแบรนด์ดุสิตแข็งแรง ได้รับการยอมรับทั่วโลก ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ที่อยู่ในกองทรัสต์มีความมั่นคงครับ สะท้อนไปยังตัวเลขการ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอในอดีตครับ
แต่อย่างที่ทราบแหละครับว่า การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงครับ ต้องศึกษาก่อนเข้าไปลงทุนทุกครั้ง เช่นกรณีนี้เป็นสินทรัพย์ที่เน้นการลงทุนในโรงแรม นั่นแปลว่าภัยพิบัติ หรือการก่อการร้าย (ซึ่งทางกองทรัสต์ DREIT และทางโรงแรมได้มีการจัดทำประกันภัยในส่วนนี้) รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นก็จะเป็นความเสี่ยงที่อาจจะทำให้รายได้สะดุดได้เหมือนกัน หรือเมื่อเปิดให้บริการนาน ๆ หลายปี ก็ต้องปรับปรุง ซ่อมแซม ทำให้อาจจะกระทบกับผลประกอบการในอนาคตได้ในช่วงนั้น ๆ
.
นอกจากนี้ EBITDA ส่วนใหญ่จะมาจากโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ทำให้เป็นการฝากความหวังไว้ที่โรงแรมเดียวมากเกินไป (แต่ผู้บริหารบอกแล้วว่าจะเพิ่มพอร์ตลงทุนโรงแรมมากกว่านี้ ก็ทำให้เบาใจลงได้ครับ)
และเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบันและถือหุ้นในสัดส่วนรวมกันถึง 70% ข้อดีคือราคาในตลาดจะไม่หวือหวา แต่ข้อเสียคือ นักลงทุนกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยซื้อ ๆ ขาย ๆ ทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายอาจจะน้อยลงบ้างครับ
“ยังมีโอกาสและความเสี่ยงอีกหลายข้อที่วันนี้ผมคงเล่าให้ฟังไม่หมด” ยังไงเข้าไปดูที่หนังสือชี้ชวนได้ครับ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจแนวทางในการป้องกันความเสี่ยง จะได้ลงทุนสบายใจขึ้นครับ
ใครที่อ่านแล้วสนใจ DREIT อยู่ระหว่างออกเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนจำนวน 302.10 ล้านหน่วย ผู้ถือหน่วยทรัสต์ DREIT เดิม มีสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนได้ในอัตราส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.7379 หน่วยทรัสต์ใหม่ ที่ราคาไม่เกินหน่วยละ 5.90 บาท
ผู้ถือหน่วยเดิมจองซื้อวันที่ 13, 16-19 ก.ย.62
นักลงทุนทั่วไปจองซื้อวันที่ 13, 16-20 และ 23 ก.ย.62
ส่วนนักลงทุนสถาบันจองซื้อวันที่ 20 และ 23 ก.ย.62
ติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวน และจองซื้อได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขาหรือสอบถามเพิ่มเติมที่ CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
คำเตือน: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน ลงทุนมีความสุขครับ นี่คือ ถามอีก กับอิก ครับ
===========
ตอนนี้เรากำลังยกเลิกการส่งไลน์แอด และไปส่งผ่าน Telegram ถ้าไม่อยากพลาดข้อมูลและแนวคิดดีๆ แอดมาโลดเด้อ https://t.me/TAM_EIG
Download Telegram
สำหรับ Android: https://play.google.com/store/apps/details…
สำหรับ IOS: https://apps.apple.com/us/app/telegram-messenger/id686449807
——————
ไม่อยากพลาด! อย่าลืมกดติดตามนะครับ
เกาะติดทุกสถานกาณ์ Facebook page: http://bit.ly/30BE1Ul
ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Telegram: http://bit.ly/2JiYoyf
อ่านข้อมูลแบบกระชับ Twitter: http://bit.ly/TAM-EIG_Twitter