“สัญชาตญาณของเราทุกคน จะมองอนาคตเป็นเส้นตรง”
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว… เทคโนโลยีทำให้ทุกอย่างเติบโตเป็นเลขยกกำลัง ซึ่งมันจะทำให้เกิดความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง”
เป็นคำพูดของ คุณ Ray Kurzweil นักประดิษฐ์ นักคิด นักเขียนที่คุณ Bill Gates อภิมหาเศรษฐียกย่องให้เป็นคนทำนายอนาคตของโลกได้แม่นยำที่สุด
“ถ้าเราเดิน 30 ก้าวแบบเส้นตรง เราจะนับได้ 30 ก้าว” “แต่ถ้าเราเดิน 30 แต่เดินแบบยกกำลังจะได้ตัวเลข หลักพันล้าน!!” เค้าเสริมครับ
ผมเห็นด้วยครับ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงวินาทีประวัติศาสตร์มากครับ และนี่คงจะเป็นคำอธิบายว่า ทำไมช่วงนี้โลกของเราหมุนไวมากขึ้นมาก ๆ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนไป, รูปแบบการทำธุรกิจก็ไม่มีวันเหมือนเดิม รู้สึกเหมือนกันไหมครับ?
วันนี้ ลงทุนนอกโลก โดยเพจ ถามอีก กับอิก จะเจาะลึกให้ฟังว่า ทำไมหุ้นกลุ่มนี้ถึงน่าสนใจ และมีวิธีไหนที่จะช่วยทำให้เรามีโอกาสเกาะกระแสเติบโตไปกับผู้ชนะได้ครับ
มุมมองที่ 1: ผมชวนมาดูหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 5 อันดับแรกกันก่อนครับ
จะเห็นว่าหุ้นยักษ์ใหญ่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถ้าวัดจากมูลค่าตลาด (Market Cap) เช่น ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานอย่าง Petrochina , Exxon Mobil, ยักษ์ใหญ่ด้านธนาคารจีนอย่าง ICBC และสุดยอดค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Walmart
มีเพียง Microsoft ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีหนึ่งเดียวที่ติดอันดับครับ
แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบันจะเห็นว่า ภาพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงครับ
5 อันดับแรกของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมากถึง 4 แห่ง!! และล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่คนไทยที่เห็นแล้วต้องร้องอ๋อ ครับ
Microsoft (ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและซอฟท์แวร์), Apple (ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี), Amazon (ยักษ์ใหญ่ด้าน E commerce) และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google)
และถ้าดูการจัดอันดับ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็มีบริษัทเทคโนโลยีมากมายถึง 7 แห่ง
นี่แหละครับคือสิ่งที่ทำให้พวกเราในฐานะนักลงทุนรายย่อยไม่สามารถมองข้ามหุ้นกลุ่มนี้ได้แล้ว
มุมมองที่ 2: คนยอมรับ และใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งเร็วมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ยกตัวอย่าง ข้อมูลจาก New York Times เช่น ในช่วงปี 1900 โทรศัพท์บ้านคือเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก แต่ต้องใช้เวลาเกือบ 200 ปีกว่าจะมีคนใช้แพร่หลาย
ไฟฟ้าใช้เวลาเกือบ 60 ปี, วิทยุใช้เวลา 45 ปี ในขณะที่ตู้เย็นใช้เวลาประมาณ 30 ปี
แต่ที่น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีกคือ การใช้คอมพิวเตอร์ ที่ใช้เวลาเพียง 25 ปี และ โทรศัพท์มือถือ 15 ปี
แนวโน้มที่คนใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างแพร่หลายในเวลาที่น้อยลงเรื่อย ๆ แบบนี้แหละครับ ยิ่งทำให้ธุรกิจไหนก็ตามที่คิดค้น หรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ยิ่งมีโอกาสเติบโตสูงมาก และนั่นหมายถึงโอกาสเติบโตของผลตอบแทนของนักลงทุนเช่นกัน
มุมมองที่ 3: เทคโนโลยีกำลังกำลังเปลี่ยนแปลงโลก
ตัวอย่างเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกในยุคนี้มีหลายอย่างครับ
1. AI หรือปัญญาประดิษฐ์ สิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
เป็นการพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้ด้วยตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีวันหยุด ไม่มีดราม่า ทำให้คอมพิวเตอร์ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ “AI เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น Apple Siri สั่งทำงานด้วยเสียง, หรือที่เราสั่งพิมพ์ด้วยเสียงใน Line ก็ใช้ AI เช่นกัน”
ปัจจุบัน AI ถูกนำไปใช้ในแทบจะทุกธุรกิจเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นวงการการเงิน, สุขภาพ, โรงงาน, บริการ รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับ เป็นต้น
2. Cloud Computing
ในอดีตเวลาที่เราจะจัดเก็บข้อมูลอาจจะต้องไว้ในฮาร์ดดิสก์ ซึ่งทำให้มีความลำบากในการใช้ข้อมูล แต่ตอนนี้สะดวกสบายมากขึ้นครับ ด้วยการใช้ Cloud Computing ที่ช่วยจัดเก็บ ประมวลผล และเรียกใช้ข้อมูลจากที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนกับก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
เช่น Microsoft Office, Google Drive, หรือ iCloud ทำให้พวกเราไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟท์แวร์ แต่สามารถใช้งานผ่านเว็ปไซต์ได้ สะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ช่วยลดต้นทุน และวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคได้ทันทีครับ
3. เมื่อความเร็วอินเตอร์เน็ตเร็วขึ้น
เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกถัดมา คือ Internet of things (IOT) ครับ คือการที่สิ่งของต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต ทำให้อุปกรณ์สิ่งของสามารถสื่อสารกันเองได้ “คาดว่าปี 2020 จะมีอุปกรณ์ IOT มากขึ้น 5 หมื่นล้านชิ้น” เป็นตัวเลขคาดการณ์จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอย่าง CISCO ครับ
เหตุผลหลัก ๆ คือ ตอนนี้ IOT ถูกนำมาใช้ในหลายด้านแล้วครับ ที่ใกล้ตัวก็คงจะเป็นบ้านอัจฉริยะ ที่ทำให้เราสามารถสั่งใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าได้จากทางไกล หรือสั่งด้วยเสียงได้ เช่น เปิด-ปิด หลอดไฟ แอร์ ได้จากนอกบ้าน
หรือในวงการแพทย์ ก็จะนำ IOT ไปใช้กับผู้ป่วย โดยจะส่งสัญญาณไปยังโรงพยาบาลและญาติเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันเวลาเป็นต้นครับ
แต่นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่ง ของเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนโลก และสร้างโอกาสธุรกิจอย่างมหาศาลครับ
มุมมองที่ 4: โอกาสเติบโตสูงแต่ สถานะทางการเงินแข็งแรง
“Apple มีเงินสด 2.1 แสนล้านเหรียญหรือ 6 ล้านล้านบาทในไตรมาสล่าสุด” ในขณะที่ Alphabet บริษัทแม่ของ google มีเงินสดมากกว่า 1.2 แสนล้านเหรียญ หรือกว่า 3.6 ล้านล้านบาท
นี่คือตัวอย่างบริษัทเทคโนโลยีที่มีเงินสดล้นมือมาก ๆ ครับ และเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ของทั้งบริษัทจะเห็นว่า กลุ่มเทคโนโลยีมีเงินสดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์มากกว่าบริษัทอื่น ๆ เกือบ 3 เท่า
ในขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีมีอัตรากู้ยืมเงินที่น้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ มาก
ทำให้ความเสี่ยงทางการเงินถือว่าต่ำมากครับ
มุมมองที่ 5: มูลค่าหุ้น (valuations) เริ่มใกล้เคียงกับหุ้นกลุ่มอื่น
“หลายคนยังคงติดภาพเดิม ๆ ว่า หุ้นกลุ่มนี้มี valuations สูงมาก และกลัวว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 1999-2000” ตอนนั้นค่า P/E ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสูงถึง 48.3 มากกว่ากลุ่มอื่นเท่าตัวครับ
แต่ถ้าดูตัวเลขตอนนี้จะเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากครับ “ค่า P/E ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตอนนี้ใกล้เคียงกับกลุ่มอื่น ๆ มากขึ้น อยู่ที่ประมาณ 17.4x ทำให้เริ่มมีความสมเหตุสมผลในการลงทุนมากกว่าเมื่อก่อนมากครับ”
เหตุผลส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่า หุ้นที่เป็นตัวจริง เสียงจริงในกลุ่มนี้เริ่มผลิดอกออกผล เริ่มมีกำไรเติบโตก้าวกระโดด ทำให้ค่า P/E มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น ไม่แพงจนเกินไป
ความเห็นของถามอีก กับอิก
“โอกาสเติบโตพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนโลก” “สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง” นี่คือคำสั้นที่ส่วนตัวผมชอบเกี่ยวกับหุ้นเทคโนโลยีมากครับ
อย่างแรก เทคโนโลยีคือ game changer ตัวเปลี่ยนเกมทุกอย่างที่เราเห็นจริง ๆ ครับ (ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการทำธุรกิจ) สิ่งที่เราเห็นในอดีตที่เราคิดว่าเปลี่ยนเร็วแล้ว แต่ในอนาคตจะยิ่งเปลี่ยนเร็วมากขึ้นอีก ทำให้เป็นเมกะเทรนด์ สร้างโอกาสมากมายที่น่าติดตามมาก
จุดที่ทำให้ผมหันมามองหุ้นกลุ่มนี้อีกอย่าง คือ สถานะทางการเงินของหุ้นกลุ่มนี้ ที่แข็งแรงมาก ๆ หนี้น้อย แถมมีเงินสดล้นมือ (ทำให้หลายบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนแบบรัว ๆ) นั่นหมายความว่า ถ้าช่วงไหนที่ต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างน้อย ๆ กลุ่มนี้ก็น่าจะมีเกราะกำบังที่ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นครับ
แต่แน่นอนครับ การลงทุนในหุ้นเหล่านี้มีให้เลือกเป็นพัน ๆ ตัว เราในฐานะรายย่อยก็คงมึนเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนยังไง
ทางเลือกหนึ่งคือ การให้มืออาชีพอย่าง Citigold และ บลจ.กรุงศรี ช่วยให้คำแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้เราได้มีโอกาสเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของหุ้นเหล่านี้ และจะทำให้เรามีโอกาสเกาะกระแสการเติบโตไปกับผู้ชนะได้
ผมยังจำคำพูดของคุณ Ray Kurzweil ได้ครับ “สัญชาตญาณของเราทุกคน จะมองอนาคตเป็นเส้นตรง” “แต่ในความเป็นจริงแล้ว… เทคโนโลยีทำให้ทุกอย่างเติบโตเป็นเลขยกกำลัง ซึ่งมันจะทำให้เกิดความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง”
การลงทุนเองก็เช่นกันครับ การลงทุนในระยะยาวในหุ้นที่ดี มีโอกาสเติบโตมาก สถานะทางการเงินดี ในราคาที่เหมาะสม ก็มีโอกาสจะสร้างความแตกต่างให้กับพอร์ตของเราได้ในระยะยาวครับ
กองทุนเปิดกรุงศรีเวิล์ดเทคอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า (KFHTECH-A)
KFHTECH-A เป็นกองทุนที่จะทำให้เรา มีโอกาสเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่จะเกาะกระแสเทคโนโลยี เปลี่ยนโลกได้ แค่ดูหุ้นที่อยู่ในกองทุนนี้ 10 อันดันแรก ล้วนแล้วแต่เป็นหุ้นเทพ ๆ ที่คนไทยรู้จัก และอาจจะเป็นลูกค้าอยู่ด้วยทั้งนั้นครับ
ชวนเข้ามาดูไส้ในของพอร์ตนี้กันครับ เริ่มจากหุ้นที่อยู่พอร์ตมากที่สุดก่อนครับ คือ Tencent Holdings บริษัทเทคโนโลยีจีนที่มีมูลค่าตลาด 16 ล้านล้านบาท สูงกว่าตัวเลข GDP ไทยทั้งประเทศเสียอีก ยกตัวอย่างธุรกิจที่สร้างชื่อให้กับเค้าคือ Wechat, QQ, ROV (เกมที่วัยรุ่นได้รู้จักเป็นอย่างดีครับ)
“ไตรมาสที่ 2 Tencent Holdings มีกำไรมากถึง 3.4 พันล้านเหรียญหรือ เกือบ 1 แสนล้านบาท”
รองลงมา คือ หุ้น Microsoft ของเฮีย Bill Gates อภิมหาเศรษฐีระดับโลกครับ “คอมพิวเตอร์แทบจะทุกเครื่องบนโลกใบนี้ใช้ซอฟต์แวร์ของเค้าครับ และปัจจุบันเริ่มรุกธุรกิจ cloud computing ทำให้กำไรเติบโตอย่างมาก” ไตรมาสล่าสุดมีกำไรมากถึง 1.32 หมื่นล้านเหรียญ หรือเกือบ 4 แสนล้านบาท!!
ส่วน Alphabet บริษัทแม่ของ Google คือ หุ้นอันดับที่ 3 ของพอร์ตครับ เป็นธุรกิจที่เราใช้กันแทบจะทุกวันครับ ไม่ว่าจะเป็น gmail, google, google map และ google drive ยังไม่นับธุรกิจไร้คนขับและนวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่เค้ากำลังซุ่มพัฒนา ไตรมาสที่ 2 นี้มีกำไรสูงถึง 9.9 พันล้านเหรียญ หรือเกือบ 3 แสนล้านบาท!
ถัดมาอันดับที่ 4 เป็นยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีที่คนไทยคุ้นเคย นั่นคือ Alibaba ของเฮีย Jack Ma ครับ
Alibaba เป็นเจ้าตลาด E-commerce ในจีนตอนนี้ขยายธุรกิจมากมายเช่น cloud computing และล่าสุดมีกำไรแล้วกว่า 2.79 พันล้านเหรียญ หรือเกือบ 9 หมื่นล้านบาท
ส่วนอันดับที่ 5 คือ Amazon นี่เป็นเจ้าตลาด E -commerce ระดับโลกของคุณ Jeff Bezos อภิหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกครับ คงไม่ต้องอธิบายมากว่าเค้าทำอะไรบ้าง ขายแทบจะทุกอย่างที่สามารถขายได้บนโลกใบนี้ครับ ล่าสุดมีกำไรมากถึง 2.6 พันล้านเหรียญ หรือ เกือบ 8 หมื่นล้านบาท
จะเห็นเลยนะครับว่า ในพอร์ตมีแต่หุ้นเทพ ๆ ระดับโลก เป็นหุ้นที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก และผู้บริหารมีแนวคิดในการสร้างการเติบโตสร้างเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกได้ตลอดเวลา และที่สำคัญล้วนแล้วแต่เป็นหุ้นที่มีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
จุดเด่นของบลจ.กรุงศรี
“บลจ. กรุงศรีจะนำเงินของนักลงทุนอย่างพวกเราไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่ชื่อ BGF World Techonology Fund อีกทีครับ” ซึ่งกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก อีกทีนึงครับ
จุดเด่นของ บลจ.กรุงศรี คือ การที่เป็นบลจ.ชั้นนำระดับประเทศ มีกระบวนการคัดเลือกกองทุนที่เน้นคุณภาพ ในราคาเหมาะสม “ยกตัวอย่างกองทุน BGF World Technology Fund เป็นกองที่มีผลงานมานานกว่า 20 ปี และมีผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่ง และ benchmark ครับ”
ส่วนตัวชอบ คือ บลจ. กรุงศรี มีการพิจารณาบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุน เช่น กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 7 เพราะเป็นการเน้นลงทุนตามหมวดอุตสาหกรรม (เทคโนโลยี) และยังเป็นการลงทุนในต่างประเทศอีก
“บลจ. กรุงศรีก็จะมีทีมผู้จัดการกองทุนคอยติดตามข้อมูลข่าวสารเชิงลึกทำให้ไม่พลาดทุกผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหุ้นในพอร์ต” นอกจากนี้ยังเน้นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีที่มีความหลากหลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนภาพรวมของกองทุนได้ครับ
ในขณะเดียวกัน สำหรับกองนี้ มีนโยบายในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนสบายใจขึ้นได้ในระดับหนึ่งครับ
คำเตือน กองทุนจะใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเต็มจำนวน ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
สนใจดูข้อมูลกองทุน KFHTECH-A เพิ่มเติม คลิกที่นี่
ในส่วนมุมมองการวิเคราะห์ภาพรวมและความน่าสนใจของ Technology Sector นั้น นักวิเคราะห์ของ Citigold ยังคงให้คำแนะนำว่า ให้น้ำหนัก “มากกว่าตลาด” หรือ Overweight อีกด้วย
เหตุผลที่ทำไมถึงควรลงทุนผ่าน Citigold?
1. Citigold เป็นที่ปรึกษาเพียงแห่งเดียวในไทยที่สามารถกระจายการลงทุนได้ทั้งในประเทศ และลงทุนโดยตรงกับกองทุนรวมต่างประเทศ โดยสามารถลงทุนในเงินสกุลเงินต่างประเทศได้โดยตรง (สำหรับกองทุนต่างประเทศ) ทำให้ลดขั้นตอนการทำธุรกรรมการเงิน และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสองต่อ
2. นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทั้งบลจ. ไทยและต่างประเทศ เช่น บลจ.กรุงศรี, PIMCO Asset Management, J.P.Morgan Asset Management, UBS, Fidelity ทำให้ Citigold มีกองทุนให้เลือกตามความเสี่ยง และไลฟ์สไตล์ได้มากถึง 190 กองทุน จาก 6 บลจ. ไทยและ 11 บลจ. ต่างชาติชั้นนำทั่วโลก (Big Name ทั้งนั้นครับ)
3. ซื้อตราสารหนี้ต่างประเทศได้โดยตรงจากบริษัทระดับโลก
สามารถซื้อตราสารหนี้ต่างประเทศ จากบริษัทชั้นนำกว่า 60 บริษัทได้โดยตรง เช่น Walt Disney, Apple, Coca-cola, Microsoft โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์อื่น ๆ และสามารถเลือกบริษัทที่ตนเองสนใจได้
4. นอกจากนี้ยังสามารถรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
ผู้เชี่ยวชาญของ Citi ล้วนแล้วแต่ได้รับการ training จาก Wharton Global Wealth Institute และยังมี TWA (Total Wealth Advisor) ที่เราสามารถร่วมวางแผนการลงทุนกับทีมงาน เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น หากจะวางแผนให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศตอนลูกอายุ 18 ปี ตอนนี้ควรจะเลือกลงทุนกองให้และจำนวนเงินเท่าไหร่ ต่อเดือน/ต่อปีเพื่อ ให้ประสบความสำเร็จด้านการเงิน ที่เราตั้งไว้ได้
5. นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นเพิ่มเติมเช่น Citibank Global Wallet ที่ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศของเราสะดวกขึ้น โดยการแลกเงินไว้ในบัญชีสกุลเงินต่างประเทศ และนำไปใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม interchange fee 2.5%
และรองรับได้มากถึง 8 สกุลเงินต่างประเทศ (USD, EUR, HKD, SGD, AUD, CHF, JPY, GBP) สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่าน Citi Mobile App® ทำให้ลดขั้นตอนการทำธุรกรรมการเงิน และลดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถเลือกแลกเงินเก็บไว้ก่อนในช่วงเวลาที่ rate ดี ได้ครับ และช่วงนี้ก็มีโปรโมชั่น cash back 5%* สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัญชีสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งโปรโมชั่นนี้รันยาวถึง 31 ธ.ค. 62
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารฯกำหนด
สำหรับใครที่สนใจการลงทุนในกองทุนเทคโนโลยี หรือบริการด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที ซิตี้โกลด์ ครับ 02-081-0999 หรือ ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ Citigold เพิ่มเติมได้ที่ https://citi.asia/thScCckt
คำเตือน
- ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน
- KFHTECH-A ลงทุนในกองทุนหลัก BGF World Technology Fund (Class D2 USD) (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในหมวดเทคโนโลยี ดังนั้นกองทุนอาจมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ/หรือการเมืองในประเทศซึ่งกองทุนหลักได้ลงทุน
- กองทุนรวมนี้อาจมีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade) หรือไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้ชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย
- กองทุนมีนโยบายการลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม
- กองทุนจะใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเต็มจำนวน ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
- กองทุนไทยและ/หรือกองทุนหลัก อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน ทำให้กองทุนไทยและ/หรือกองทุนหลัก อาจมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง เนื่องจากใช้เงินลงทุนในจำนวนที่น้อยกว่าจึงมีกำไร/ขาดทุนสูงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง