5 หลักการบริหารเงินระดับโลก ที่ใคร ๆ ก็ทำได้
3 เหตุผลทำไมต้องจัดเงินเป็นสัดส่วน?
1. ช่วยให้บริหารเงินได้ง่ายขึ้น ไม่พลาดเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งในชีวิต
2. วางแผนชีวิตให้ชีวิตมีความมั่นคง ไม่ตื่นตระหนกเกินไปถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เช่น ตกงาน เจ็บป่วย หรือวิกฤตเศรษฐกิจ
3. ทำให้เราไม่ใช้จ่ายเกินตัว มีเงินไปลงทุน หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำให้เราไม่พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต
1) ลี กาชิง
ลี กาชิง มหาเศรษฐีฮ่องกงที่รวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นเจ้าของธุรกิจมากมาย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ท่าเรือ
การสื่อสารโทรคมนาคม พลังงาน และธุรกิจอื่น ๆ
หลักการบริหารเงิน
ส่วนที่ 1: ค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน 30%
ใช้ดำรงชีพ เช่น ค่าอาหาร ที่พักอาศัย ค่าเดินทาง
ส่วนที่ 2: เงินสำหรับสร้างเพื่อนใหม่ 20%
ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ต่อยอดอนาคต
ส่วนที่ 3: การเรียน การศึกษา 15%
เช่น ซื้อหนังสือ หรือลงเรียนคอร์สต่าง ๆ เพราะความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา อย่าหยุดเรียนรู้
ส่วนที่ 4: ซื้อความสุขให้ชีวิต 10%
เช่น ออกไปท่องเที่ยว จะช่วยเปิดโลกกว้าง และช่วยชาร์จพลังได้
ส่วนที่ 5: เก็บออมและลงทุน 25%
ลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งในสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือเริ่มทำธุรกิจเล็ก ๆ แต่ถ้าขาดทุนถือเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเอง
2) จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์
จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ เศรษฐีผู้ใจุบญชาวอเมริกันที่รวยที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งอเมริกา เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมัน Standard Oil
ควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันได้เกือบ 90% ของประเทศ
ได้ฉายาว่าเป็น เศรษฐีใจบุญที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
หลักการบริหารเงิน
-80% เพื่อใช้ในส่วนที่ตัวเองอยากใช้
-10% เพื่อออมไว้ใช้สร้างอนาคต
-10% เพื่อบริจาคการกุศล
3) 6 Jars
แนวคิดของ T.Harv Eker นักวิทยาการเจ้าของหนังสือขายดี “ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” (Secrets of the Millionaire Mind)
โดยใช้เทคนิคจัดสรรเงินเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการพลิกชีวิตตัวเองจนกลายเป็นเศรษฐี
หลักการบริหารเงิน
โหลที่ 1 ค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน 55%
โหลที่ 2 ให้รางวัลตัวเอง 10%
โหลที่ 3 ลงทุนให้เงินงอกเงย 10%
โหลที่ 4 การศึกษา พัฒนาตัวเอง 10%
โหลที่ 5 เตรียมไว้เผื่ออนาคต เช่น ดาวน์บ้าน ค่าเล่าเรียนลูก 10%
โหลที่ 6 ให้ของขวัญคนที่รัก บริจาค 5%
4) ถัง 3 ใบ
หลักการบริหารเงิน
ถังใบที่ 1 ถังสภาพคล่อง
ใส่เงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อการดำรงชีพอย่างน้อย 2 ปี เช่น มีรายจ่ายเดือนละ 20,000 บาท ถังใบแรกต้องมีเงิน 480,000 บาท
เพื่อการันตีว่าหากเราไม่มีรายได้ ก็จะมีเงินเพียงพอกับการดำรงชีวิตอยู่ได้อีก 2 ปี
เน้นสภาพคล่องสูง ยังไม่หวังผลตอบแทน อาจเก็บไว้ในบัญชีเงินสดที่มีความเสี่ยงต่ำ กองทุนรวมตลาดเงิน
ถังใบที่ 2 ถังเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง
จุดประสงค์ของถังใบนี้คือมีหน้าที่คอยเติมเงินลงในถังใบแรกให้มีเงินเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายอย่างน้อย 2 ปีอยู่เสมอ
เน้นลงทุนโดยหวังผลตอบแทน 2-3% ต่อปี ระยะกลางประมาณ 3-5 ปี อาจลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีปันผล และความเสี่ยงไม่สูง
เช่น หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี กองทุนรวมตราสารหนี้
ถังใบที่ 3 ถังเสี่ยงสูง
เพื่อการลงทุนระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยจะต้องเป็นเงินที่เราสามารถปล่อยทิ้งไว้ได้ 5 ปีขึ้นไป
โดยจุดประสงค์ของถังใบที่สามนี้เพื่อให้มีผลตอบแทนไปเติมเงินถังใบที่ 1 และ 2 ไปเรื่อย ๆ
เน้นลงทุนหวังผลตอบแทน 8-10% สินทรัพย์ลงทุนเช่น กองทุนรวมหุ้น หุ้นปันผล ทองคำ สินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ
5) สูตรบริหารเงิน 50-30-20
คิดค้นโดย เอลิซาเบ็ธ วอร์เร็น (Elizabeth Warren) นักวิชาการและนักการเมืองชาวสหรัฐอเมริกา ที่ได้เสนอแนวคิดในการจัดสรรเงิน
ไว้ในหนังสือชื่อ All Your Worth: The Ultimate Lifetime Money Plan
หลักการบริหารเงิน
50% NEEDS สำหรับค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเช่าคอนโด ค่าอาหาร ค่าของใช้จำเป็น
30% WANTS สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง เช่น ไปเที่ยว ซื้อของที่อยากได้
20% SAVINGS สำหรับเก็บออมและลงทุน ทั้งเก็บเป็นเงินฉุกเฉิน และลงทุนสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต
ติดตามทั้ง 15 ช่องทางของถามอีก กับอิก Tam-Eig ได้ทางลิงค์นี้
https://links.tam-eig.com/m/TAM-EIG-Channels