ตลาดพันธบัตรส่งสัญญานวิกฤตครั้งใหญ่จากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED
Ed Yardeni ผู้เชี่ยวชาญในตลาดกล่าว
ตลาดพันธบัตร กำลังส่งสัญญาณเตือนว่า ระบบการเงินได้รับความเสียหาย ผู้ถือหุ้นกู้ยังคงเดิมพันกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต Ed Yardeni กล่าว ซึ่งน่าจะมีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปของ FED
“ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่เส้นอัตราผลตอบแทนเปลี่ยนเป็นลบ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่จะระเบิดขึ้นในระบบการเงินเสมอ” เขากล่าว
“มันจะนำไปสู่วิกฤตสินเชื่อที่กระทบทั่วทั้งเศรษฐกิจ ซึ่งแม้แต่ผู้กู้ที่ดี(good borrowers)ก็ไม่สามารถกู้เงินได้ และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในท้ายที่สุด”
เส้นอัตราผลตอบแทนจะกลายเป็นลบเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว บ่งชี้ว่านักลงทุนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงในอนาคต ซึ่งมักเป็นสัญญาณของภาวะถดถอยที่กำลังจะมาถึง
เมื่อต้นปี พันธบัตรอายุ 2 ปี มีผลตอบแทน 3.82% ขณะที่พันธบัตรอายุ 10 ปี มีผลตอบแทน 3.31% ความแตกต่างผลตอบแทนลดลงมากที่สุดในรอบ 40 ปี
หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Yardeni ชี้ว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะบีบให้เกิดวิกฤตสินเชื่อในวงกว้าง
เพราะการพยายามช่วยเหลือของทางการเพื่อที่จะลดผลกระทบเป็นวงกว้างจากการล้มของ Silicon Valley Bank ทำให้สถาบันต่าง ๆ สามารถปล่อยสินเชื่อต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม เส้นอัตราผลตอบแทนที่ติดลบเป็นตัวบ่งชี้ว่า FED จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดังที่เขากล่าว ตลาดตราสารหนี้กำลังชี้ให้เห็นว่าดอกเบี้ย ณ ปัจจุบันที่ 5% กำลังกดดันตลาดและการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีแต่ความเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงและนำไปสู่ Hard Landing
เขายังกล่าวอีกว่า “ตลาดตราสารหนี้ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับปานกลาง คือหมายความว่า คงไม่มีใครซื้อพันธบัตรที่อัตรา 3.5% หากคิดว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังจะลดลง”
ไม่ใช่ Yardeni คนเดียวที่คลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนสินเชื่อ James Bullard หนึ่งในประธาน FED ชี้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวผ่อนคลายลงแล้ว อย่างไรก็ตาม เขามองว่า FED ยังต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อจัดการเงินเฟ้อให้อยู่หมัด