tam-eig.com

นักวิเคราะห์ระดับโลกมองสินทรัพย์ไหนน่าลงทุน 2023

นักวิเคราะห์ระดับโลกมองสินทรัพย์ไหนน่าลงทุน 2023

บทสรุปมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนปี 2023 ⁣

1. Bank of America⁣

แนวโน้มปี 2023 : Bank of Americaคาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะทรงตัวในปี 2023 เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการที่ตกต่ำ

จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ⁣ด้วยตัวเลขการบริโภคที่ดี งบดุลบริษัทและการจ้างงานที่แข็งแกร่ง Bank of America จึงไม่มองโลกในแง่ร้ายไปมากกว่านี้ ⁣

อัตราดอกเบี้ยที่สูงและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ⁣
ทำให้การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ลดลง 0.4% ในปีหน้า ขณะที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ⁣
นอกจากนี้มองว่าอัตราเงินเฟ้อที่กระทบต่อหุ้นและเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาจะลดลงเหลือ 3.2% ในปีหน้า ⁣

แนวทางการลงทุน: ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ Bank of America แนะนำการลงทุนในหุ้นคุณภาพดี รวมไปถึงหุ้นขนาดเล็กและหุ้นในกลุ่มพลังงาน สินค้าอุปโภค สถาบันการเงิน และสาธารณูปโภคพื้นฐาน⁣

โดยให้มุมมองว่าหุ้นคุณภาพดีและหุ้นขนาดเล็ก สามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่า ⁣

ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มพลังงานจะยังเติบโตต่อเนื่องจากการขาดแคลนอุปทาน ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และ หุ้นอุปโภคบริโภคถือเป็น หุ้น Defensive ที่มีมีอำนาจในการกำหนดราคา⁣

ขณะที่หุ้นการเงิน ถือเป็นหุ้นคุณภาพดีราคาถูก และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ให้ผลการการดำเนินงานที่ดีเมื่ออัตราอัตราเงินเฟ้อลดลงและราคาพันธบัตรกลับมา


 2. BMO Capital Markets⁣

 มุมมองปี 2023: BMO มองตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นในปี 2023 แม้จะเชื่อมั่นว่ารายได้บริษัทจะลดลง 5% ในปีหน้า แต่ตลาดหุ้นจะขยายตัวต่อเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ⁣

ขณะเดียวกันก็มองว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงจะเป็นขาลงอย่างรุนแรงหากรายได้บริษัทลดลงหรือไม่เติบโตต่อเนื่อง ⁣

อีกทั้งมองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ “แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้” ในปีหน้า แม้ตัวเลขตลาดแรงงานและการบริโภคยังแข็งแกร่งซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะถดถอยจะไม่รุนแรงก็ตาม ⁣

แนวทางการลงทุน: Brian Belski หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนมีมุมมองเชิงบวกแต่ยังต้องมีความระมัดระวังเกี่ยวในการลงทุนปี 2023 แต่เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ⁣

BMO เพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมองว่าหุ้นขนาดเล็ก เป็น สินทรัพย์ที่ถูกลืม และเป็นหุ้นที่มีการประเมินมูลค่าที่ถูก และมีการเติบโตที่สม่ำเสมอ ในขณะที่หุ้นขนาดกลางมีมูลค่าและกระแสเงินสดที่น่าสนใจ ⁣

เขายังมองว่าหุ้น Value Stock น่าสนใจกว่าหุ้น Growth Stock เพราะทั้งปัจจัยมหภาค ปัจจัยพื้นฐานและด้านความเชื่อมั่น ทำให้หุ้น Value เป็นที่ต้องการครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ หลังอัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นในปี 2022⁣

หากมองรายกลุ่มอุตสาหกรรม BMO ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ ⁣

1)กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร ที่มีเงินสดจำนวนมากและมีการเติบโตของเงินปันผล

2)หุ้น Value ที่มีรายได้ กระแสเงินสด และเงินปันผล อย่างกลุ่มการเงิน

และ 3) หุ้น Defensive มีมูลค่าที่สมเหตุสมผลอย่างกลุ่ม Healthcare 

 

⁣ 3. Citigroup⁣⁣

 

 มุมมองปี 2023: มองว่าตลาดหุ้นอาจปรับตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ประมาณการรายได้ลดลง ⁣

ขณะเดียวกันมองว่า สหรัฐฯ มีแนวโน้มตามหลังยุโรปไปโดยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

โดย Citi คาดการณ์การเติบโตทั่วโลกจะลดลงจนต่ำกว่าระดับ 2% ในปีหน้า ⁣

อย่างไรก็ตาม Citigroup มองว่า ภาวะตกต่ำจะเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ และจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2024⁣

แนวทางการลงทุน: Citi ไม่ให้น้ำหนัการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯมากนัก แต่ให้น้ำหนักในกลุ่ม Healthcare, IT และชิ้นส่วนวัสดุ ⁣

โดยที่ที่ผ่านมา Citi มองการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ตลอดปี 2022 จากการเป็นหุ้น Defensive และมีการเติบโตที่โดดเด่น ⁣

ขณะเดียวกัน มีมุมมอง bullish ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่แม้จะตกลงมา แต่เชื่อมั่นว่าจะกลับขึ้นมาได้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย⁣

หุ้นชิ้นส่วนวัสดุ เป็นที่ชื่นชอบมานานของ Citi เพราะมองว่าเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากอัตราเงินเฟ้อมากกว่าหุ้นกลุ่มพลังงาน ⁣

 4.Credit Suisse⁣
⁣ 

 มุมมองปี 2023: Credit Suisse มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากกลางเดือนธันวาคม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงกดดันตลาด ⁣

คาดว่ากำไรของบริษัทจะลดลงเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 4% ในปีหน้าเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและกดดันผลกำไรต่อเนื่อง ⁣

แม้ยุโรปและสหราชอาณาจักรกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ Credit Suisse มองว่า สหรัฐฯอาจหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย⁣

อย่างไรก็ตาม Credit Suisse มองเห็นโอกาสการ hard landing 40% ⁣

แนวทางการลงทุน: ในขณะที่ตลาดหุ้นยังคงขึ้นๆลงๆ ตลาดพันธบัตรจะเริ่มฟื้นตัวจากปี 2022 ซึ่งจะช่วยปกป้องโอกาสขาดทุน ได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ดีขึ้น⁣

จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย

“ผลการดำเนินงานของทั้งพันบัตรและหุ้น จะมีความแตกต่างกันออกไปอีกครั้ง เนื่องจาก เราคาดว่าตลาดตราสารทุนจะยังคงมีความผันผวนในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง กระทบต่อผลประกอบการของบริษัท”⁣

นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้น ควรลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive และหาบริษัทที่สามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้ด้วยการส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นและเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่คู่แข่งรายใหม่เข้ามายาก ⁣

ตามข้อมูล Credit Suisse เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีเสถียรภาพ ⁣
หุ้นเติบโตที่มีคุณภาพดี จะมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่า ⁣

โดยหุ้นกลุ่ม Defensive ได้แก่ หุ้นกลุ่ม Healthcare กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และสาธารณูปโภค ในขณะที่หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร การเงิน IT และกลุ่มบริโภคบางส่วนน่าจะทำผลการดำเนินได้ดีขึ้นในปีหน้า ⁣

 

 5. Deutsche Bank⁣

 

 ⁣มุมมองปี 2023: Deutsche Bank คาดการณ์แนวโน้ม S&P500 ที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนที่สูงอย่างผิดปกติในปีหน้า และคาดว่าดัชนีจะผันผวนจากการขาดทุนครั้งใหญ่ในช่วงกลางปีจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และกลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญภายในสิ้นปี ⁣

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญด้านการบริโภคและตลาดที่อยู่อาศัยบ่งชี้ว่า สหรัฐฯอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานยังเป็นความหวัง ⁣
แนวทางการลงทุน: เนื่องจากตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับขึ้นตลอดทั้งปี Deutsche Bank แนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงิน เทคโนโลยี และการบริโภค รวมไปถึงหุ้นกลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรม⁣

หุ้นกลุ่มการเงิน สะท้อนการเติบโตที่ชะลอในราคาแล้ว และอาจกลับพุ่งขึ้นมาหากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ⁣

ในขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการบริโภคที่ปรับตัวลดลงในปีนี้ จะได้ประโยชน์เมื่อผลตอบแทนต่อความเสี่ยงมีแนวโน้มดีขึ้น 

นอกจากนี้ Deutsche Bank ยังแนะนำการลงทุนในยุโรปหลังจากที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าสหรัฐฯ แม้อัตราเงินเฟ้อจะสูงและมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยมองว่าหุ้นในยุโรปมีการซื้อขายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่ายังมี upside ⁣

 6. Goldman Sachs⁣

 มุมมองการปี 2023: Goldman Sachs มองการเติบโตของรายได้ที่ทรงตัวในปีหน้า แม้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed จะผ่อนคลายลง และมองการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯและทั่วโลกน่าจะยังขยายตัวได้ในปี 2023 โดย Goldman Sachs คาดการณ์โอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ 30% หากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ⁣

แนวทางการลงทุน: Goldman Sachs มองว่านักลงทุนไม่ควรอยู่นิ่งในปีหน้า แม้กรณีเกิดตลาดหมี จะทำให้ S&P ร่วงลงไปที่ 3,150 จุด หรือกรณี base case ที่ตลาดจะกลับมาเป็นขาขึ้น ยกเว้นกลุ่มชิ้นส่วนวัสดุ ⁣

หุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำอย่างกลุ่ม healthcare กลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มที่น่าลงทุน เช่นเดียวกับหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและหุ้นที่ยังมีกำไรที่ฟื้นตัวได้แม้เศรษฐกิจจะอ่อนแอลง ในขณะเดียวกันควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่ไม่ทำกำไรหรือมีกำไรที่ต่ำ ⁣

 

7. JPMorgan⁣

 

⁣มุมมองปี 2023: JPMorgan มองว่าตลาดหุ้นจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า แต่จะลดลงประมาณ 10% ในไตรมาสแรกทั้งจากกำไรและการประเมินมูลค่าที่ลดลง แต่จะกลับมาดีในปลายปีเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงและปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น ⁣

ตลาดจะยังมีกำไรแม้เศรษฐกิจในสหรัฐฯและยุโรปจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่เพื่อให้การฟื้นตัวเกิดขึ้น อัตราเงินเฟ้อจะต้องลดลงเพื่อให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลงตามมา ⁣

แนวทางการลงทุน: ในปี 2023 นักลงทุนควรมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีราคาไม่แพงมาก โดยแนะนำหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่มีมูลค่าและการเติบโตที่ดี และสำหรับหุ้น Defensive แนะนำหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคมากกว่าหุ้นอสังหาฯ ⁣

ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงนำไปสู่ภาวะถดถอยที่อาจเกิดขึ้น JPMorgan มีมุมมองที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มวัฏจักรเช่นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ⁣

8. Morgan Stanley ⁣

มุมมองปี 2023: Morgan Stanley มองว่าปีหน้าน่าจะเป็นปีที่น่าเบื่อสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากกำไรที่ลดลงทำให้เกิดการเทขายในช่วงต้นปี ⁣

เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ Morgan Stanley มองเห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ในช่วงปลายปีเนื่องจากนักลงทุนมองบวกมากขึ้นถึงการเติบโตในอนาคต ⁣

เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจไม่เกิดภาวะถดถอยในปีหน้า แต่อัตราดอกเบี้ยที่สูง การเติบโตของการจ้างงานที่ชะลอ และการว่างงานที่สูงขึ้นยังเป็นปัจจัยกดดันตลาด ⁣

แนวทางการลงทุน: Mike Wilson นักกลยุทธ์จาก Morgan Stanley แนะนำว่า นักลงทุนควรลงทุนในหุ้น Defensive ตราบใดที่ประมาณรายได้ยังไม่แน่นอน⁣

ท่ามกลางตลาดที่มีความท้าทายนี้ เขาแนะนำการลงทุนใหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่ม Healtcare กลุ่มสาธารณูปโภค และพลังงาน ⁣

นอกจากนี้เขายังชอบหุ้นที่มีคุณภาพสูงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ⁣

“เราชอบหุ้นที่มีคุณภาพและมีกระแสเงินสดที่เพียงพอ”⁣

 

9. Oppenheimer⁣

 

มุมมองปี 2023: Oppenheimer คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปรับระดับเพิ่มขึ้นสองหลักในปีหน้า แม้รายได้จะยังไม่เติบโต

แต่เงินเฟ้อที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวทำให้ S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ⁣

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นมากกว่าที่หลายคนมอง ดังนั้นอาจจะไม่เกิดภาวะถดถอย ⁣
และแม้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัว แต่ Oppenheimer ก็ไม่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยลึกหรือยาวนาน ⁣

แนวทางการลงทุน: John Stoltzfus หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านการตลาด Oppenheimer กล่าวว่า เขาชื่นชอบหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และการบริโภค ขณะเดียวกันเขาชอบหุ้นที่มีคุณภาพดีที่มีรายได้มั่นคง ผู้บริหารที่เก่ง และหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ⁣

 

10. Truist⁣

มุมมองปี 2023: สำหรับปีหน้า Truist มอง S&P 500 กว้างๆ ที่ระดับ 3,400-4,300 จุด เฉลี่ยที่ 3,850 จุด ซึ่งน่าจะเป็นระดับที่ต่ำสุด ⁣
ด้วยผลประกอบการที่ยังไม่ดี เศรษฐกิจที่สั่นคลอน และการประเมินมูลค่าที่ไม่น่าดึงดูด ทำให้ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนยังมีค่อนข้างมาก ⁣

แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะหดตัวในปีหน้า แต่ Truist มองว่าการชะลอตัวน่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นและไม่ลึก จากความแข็งแกร่งของตัวเลขการบริโภคและตลาดแรงงาน ⁣

อย่างไรก็ตาม Truist มองเห็นความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และอัตราดอกเบี้ยที่สูงซึ่งอาจนำไปสู่ปีที่เลวร้ายเป็นประวัติการณ์สำหรับการเติบโตทั่วโลก ⁣

แนวทางการลงทุน: แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมี upside จำกัดในปี 2023 แต่ความผันผวนของตลาดทำให้นักลงทุนอาจมองหาโอกาสการลงทุนได้ ⁣

หุ้นส่วนใหญ่ถูกจัดอันดับ “น่าดึงดูดน้อย” และทั้งตลาดเกิดใหม่และตลาดที่พัฒนาแล้วได้รับการจัดอันดับ “น่าดึงดูดน้อยที่สุด” ⁣

แม้หุ้นต่างประเทศมีราคาถูก แต่ Keith Lerner หัวหน้าฝ่ายการลงทุน ระบุว่าการประเมินมูลค่าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ⁣

หุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้อันดับ “น่าสนใจที่สุด” ในขณะที่ให้มุมมอง “เป็นกลาง” ในหุ้นตลาดเล็กและหุ้นขนาดกลางของสหรัฐฯ ⁣

นอกจากนี้ เขายังแนะนำหุ้น Value หรือหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโต หุ้นวัฏจักรอย่างกลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare และหุ้นกลุ่มบริโภค ⁣

 

11. UBS⁣

มุมมองปี 2023: UBS เป็นหนึ่งในบรรดาบริษัทการลงทุนที่มองเป้าหมาย S&P500 ต่ำที่สุด โดยมองกำไรของบริษัทลดลง 11% ในปีหน้าจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัว ⁣

อีกทั้งมองว่าสหรัฐฯจะไม่สามารถหลีกหนีจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้ และจะต้องต่อสู้เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตในปี 2024 ⁣

เงินออมที่น้อยลงของผู้บริโภคนำไปสู่การใช้จ่ายที่ลดลง ส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ ต้องต่อสู้มากขึ้น ⁣

แนวทางการลงทุน : ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูจะยากลำบาก UBS มองการลงทุนในหุ้น Defensive และหุ้นคุณภาพดี และบริษัทที่มีการเติบโตดี ⁣

UBS ยังแนะนำการลงทุนในหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง⁣

#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

 

#ถ้าไม่อยากพลาดแนวคิดการลงทุนและไอเดียการลงทุนดีๆ อย่าลืมกด subscribe และ กดกระดิ่งนะครับ

 

🙂 ติดตามทั้ง 14 ช่องทางของถามอีก กับอิก Tam-Eig ได้ทางลิงค์นี้

 

https://linktr.ee/tameig

Exit mobile version