พอวิเคราะห์หลายมิติแล้วผมมองว่า ทาง i-Tail มีจุดเด่นหลายด้านเหมือนกันครับ
1.อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
จากการประเมินของ Frost & Sullivan มองว่าตลาดนี้มีโอกาสเติบโต 7.1% ในช่วง 5 ปีข้างหน้าซึ่งจะทำให้มูลค่าเพิ่มเป็น 185,000-190,000 แสนล้านเหรียญ จากเทรนด์เลี้ยงสัตว์เหมือนสมาชิกในครอบครัว
น่าสนใจที่คาดการณ์อาหารแมวมีโอกาสเติบโต 8.2% มากกว่าอาหารสุนัขซึ่งอยู่ที่ 7.6% และมากกว่าค่าเฉลี่ยอาหารสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ที่เติบโตเฉลี่ยประมาณต่อปี 7.1%
โดยความนิยมของแมวที่เพิ่มสูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพที่อยู่อาศัยของสังคมเมือง ที่ส่วนใหญ่นิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น ทำให้การเลี้ยงน้องแมวตอบโจทย์มากกว่าสุนัข ซึ่งตรงกับกลุ่มที่ i-Tail มีความเชี่ยวชาญเพราะเน้นอาหารแมวมากกว่าอาหารสุนัข ทำให้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับเมกะเทรนด์นี้
นอกจากนี้ Frost & Sullivan ยังคาดการณ์ว่าอาหารแมวและสุนัขชนิดเปียกจะเติบโตในระดับ 10.7% ต่อปี เมื่อเทียบกับอาหารแมวและสุนัขชนิดแห้งหรือแบบเม็ด ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 5.3% ซึ่งก็ตรงกับทาง i-Tail ที่เน้นอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกอีกเช่นกัน
2.เป็นบริษัทในกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU)
การที่ i-Tail เป็นหนึ่งในบริษัทของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจปลาทูน่ารายใหญ่ระดับโลก ทำให้มีข้อดีหลายด้าน เช่น การจัดหาวัตถุดิบได้มากเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสมและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ คำนึงถึงความยั่งยืนทางทะเล ทำให้ได้มาตรฐานสากล
ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับการใช้ส่วนผสมที่สดใหม่และมาจากธรรมชาติ และวัตถุดิบหลักก็คือ ปลาทูน่า ทำให้เป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ ครับ
นอกจากนี้ ยังได้นำเอาเทคโนโลยีคลังสินค้าระบบอัตโนมัติมาใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้า และทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้นในอนาคต
3.ผลการดำเนินงานโดดเด่น
ผลประกอบการย้อนหลังยังเติบโตมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่เจอกับวิกฤตโควิด-19
ปี 2562: รายได้ 10,955 ล้านบาท และกำไร 1,695 ล้านบาท
ปี 2563: รายได้ 12,224 ล้านบาท และกำไร 2,548 ล้านบาท
ปี 2564: รายได้ 14,529 ล้านบาท และกำไร 2,721 ล้านบาท
9M/2565: รายได้ 15,829 ล้านบาท และกำไร 3,726 ล้านบาท
นั่นหมายความว่า รายได้เติบโตเฉลี่ยต่อปี 15% ในขณะที่กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 27%
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 25.9% และอัตราทำกำไรสุทธิล่าสุดสูงถึง 23.3% ติดอันดับบริษัทที่สามารถทำกำไรได้สูงที่สุด Top 5 ของโลก ในกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก
นอกจากนี้ ROA ก็สูงถึง 35.0% และ ROE สูงระดับ 77.8 %
ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.1x สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการของผู้บริหารได้เป็นอย่างดีครับ