
i-Tail หุ้นหมื่นล้าน ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก
“131,000–135,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 5 ล้านล้านบาทต่อปี” คือมูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก ซึ่งเป็นการเติบโตระดับ 5.5-5.8% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัวลงทั้งโลกเลย
เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า นับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 คนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บ้าน ทำงานที่บ้านทำให้เกิดความเหงา และคนรุ่นใหม่ไม่มีลูกหรือแต่งงานช้าลง ทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า “Pet Humanization” หรือการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัว
ทำให้คนรุ่นใหม่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยง
บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่นหรือ i-Tail (ITC) ผู้นำในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย ที่เป็นอันดับ 2 ในเอเชีย และอยู่ใน Top 10 ของโลก ไม่ธรรมดาเลยนะครับ เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้เพราะยึดหลักคิด Pet-Centric เน้นผลิตภัณฑ์ที่มองความต้องการของสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง
จุดที่น่าสนใจคือตอนนี้ i-Tail กำลังก้าวสู่การเติบโตครั้งสำคัญ เพราะเค้ากำลังเตรียมเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเติบโตไปพร้อมกับเมกะเทรนด์นี้
i-Tail มีศักยภาพเติบโตอย่างไร? และทำไมถึงเลือกที่จะเข้าตลาดหุ้นตอนนี้และจะนำเงินไปต่อยอดด้านไหนบ้าง
Eig Banphot Explains “ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้” ชวนเพื่อน ๆ นักลงทุนมาวิเคราะห์หาโอกาสลงทุนกันครับ
มารู้จัก i-Tail:

บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2520 โดยกลุ่มไทยยูเนี่ยน และเมื่อทางผู้บริหารต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปลาทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเห็นโอกาสในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัทจนขยายธุรกิจเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับโมเดลธุรกิจของ i-Tail เข้าใจง่ายมากครับ ให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจร (OEM) เริ่มตั้งแต่ให้คำปรึกษา ผลิต บรรจุ และส่งออก รวมถึงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้า
ที่น่าสนใจคือ i-Tail เป็นหนึ่งในผู้นำในการรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อยู่ที่อันดับ 4 ของโลก แถมอัตราทำกำไรก็ดีที่สุดใน Top 5 ของโลกในกลุ่มนี้ด้วย โดยบริษัทฯประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงประเภทแมว และสุนัข ทั้งผลิตภัณฑ์ระดับทั่วไป ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม

ศักยภาพและการเติบโต:
ตอนนี้ i-Tail มีโรงงานในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดสงขลา ทั้งสองโรงงานได้มาตรฐานสากลและมีแผนขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติให้มากขึ้น มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 172,786 ตันต่อปี และมีรายการผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั้งหมด 5,187 ชนิด ไม่ธรรมดาเลยครับ
เมื่อไปดูไส้ในจะเห็นว่า i-Tail มีรายได้ส่วนใหญ่ มาจากอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมว 72% อาหารสุนัข 11.8% และรายได้อีกประเภทคือ ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น ขนมสำหรับแมว 8.5% และขนมสำหรับสุนัข 7.2% (ที่มา: หนังสือชี้ชวน งวด 9 เดือน ณ 30 ก.ย 2565)
ข้อสังเกตคือ ทาง i-Tail มีแบรนด์ระดับโลกเป็นลูกค้ามากมาย และได้ถูกส่งออกไปจำหน่ายในกว่า 45 ประเทศทั่วโลก ในทวีปอเมริกา ยุโรป เอเชีย และภูมิภาคโอเชียเนีย
ไม่ใช่แค่นี้ครับ ทางบริษัทฯ ยังมีแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของตัวเอง (คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1%) เช่น Bellotta, Marvo, ChangeTer, Calico Bay และ Paramount ซึ่งมีข้อดีที่จะช่วยให้ลูกค้าในกลุ่ม OEM สามารถใช้ในการทดลองสินค้าในตลาดและประเมินความต้องการของผู้บริโภคให้กับแบรนด์ลูกค้าก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม
จุดเด่นของ i-Tail:

พอวิเคราะห์หลายมิติแล้วผมมองว่า ทาง i-Tail มีจุดเด่นหลายด้านเหมือนกันครับ
1.อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
จากการประเมินของ Frost & Sullivan มองว่าตลาดนี้มีโอกาสเติบโต 7.1% ในช่วง 5 ปีข้างหน้าซึ่งจะทำให้มูลค่าเพิ่มเป็น 185,000-190,000 แสนล้านเหรียญ จากเทรนด์เลี้ยงสัตว์เหมือนสมาชิกในครอบครัว
น่าสนใจที่คาดการณ์อาหารแมวมีโอกาสเติบโต 8.2% มากกว่าอาหารสุนัขซึ่งอยู่ที่ 7.6% และมากกว่าค่าเฉลี่ยอาหารสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ที่เติบโตเฉลี่ยประมาณต่อปี 7.1%
โดยความนิยมของแมวที่เพิ่มสูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพที่อยู่อาศัยของสังคมเมือง ที่ส่วนใหญ่นิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น ทำให้การเลี้ยงน้องแมวตอบโจทย์มากกว่าสุนัข ซึ่งตรงกับกลุ่มที่ i-Tail มีความเชี่ยวชาญเพราะเน้นอาหารแมวมากกว่าอาหารสุนัข ทำให้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับเมกะเทรนด์นี้
นอกจากนี้ Frost & Sullivan ยังคาดการณ์ว่าอาหารแมวและสุนัขชนิดเปียกจะเติบโตในระดับ 10.7% ต่อปี เมื่อเทียบกับอาหารแมวและสุนัขชนิดแห้งหรือแบบเม็ด ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 5.3% ซึ่งก็ตรงกับทาง i-Tail ที่เน้นอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกอีกเช่นกัน
2.เป็นบริษัทในกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU)
การที่ i-Tail เป็นหนึ่งในบริษัทของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจปลาทูน่ารายใหญ่ระดับโลก ทำให้มีข้อดีหลายด้าน เช่น การจัดหาวัตถุดิบได้มากเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสมและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ คำนึงถึงความยั่งยืนทางทะเล ทำให้ได้มาตรฐานสากล
ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับการใช้ส่วนผสมที่สดใหม่และมาจากธรรมชาติ และวัตถุดิบหลักก็คือ ปลาทูน่า ทำให้เป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ ครับ
นอกจากนี้ ยังได้นำเอาเทคโนโลยีคลังสินค้าระบบอัตโนมัติมาใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้า และทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้นในอนาคต
3.ผลการดำเนินงานโดดเด่น
ผลประกอบการย้อนหลังยังเติบโตมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่เจอกับวิกฤตโควิด-19
ปี 2562: รายได้ 10,955 ล้านบาท และกำไร 1,695 ล้านบาท
ปี 2563: รายได้ 12,224 ล้านบาท และกำไร 2,548 ล้านบาท
ปี 2564: รายได้ 14,529 ล้านบาท และกำไร 2,721 ล้านบาท
9M/2565: รายได้ 15,829 ล้านบาท และกำไร 3,726 ล้านบาท
นั่นหมายความว่า รายได้เติบโตเฉลี่ยต่อปี 15% ในขณะที่กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 27%
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 25.9% และอัตราทำกำไรสุทธิล่าสุดสูงถึง 23.3% ติดอันดับบริษัทที่สามารถทำกำไรได้สูงที่สุด Top 5 ของโลก ในกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก
นอกจากนี้ ROA ก็สูงถึง 35.0% และ ROE สูงระดับ 77.8 %
ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.1x สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการของผู้บริหารได้เป็นอย่างดีครับ
