ใครที่เริ่มมีลูกผมเชื่อว่าก็จะเริ่มมีความคิดอยากวางแผนทางการเงินเตรียมให้กับอนาคตของลูกจริงไหมครับ
ผมกับภรรยาก็เหมือนกันครับ ยิ่งนับวันที่น้องปันผลโตขึ้น ก็ยิ่งทำให้เราอยากเห็นเขามีโอกาสทำสิ่งต่าง ๆ ที่อยากทำ ได้อย่างเต็มที่ในอนาคต
หลังจากที่คุยอย่างจริงจัง วางแผนกันว่าจะออมเงินให้น้องปันผลเป็นเงินขวัญถุง เอาไว้ตั้งตัวหรือทำธุรกิจ หลังเรียนจบตอนอายุ 22 ปี จำนวน 10 ล้านบาท (เพราะอย่าลืมว่าเงินเฟ้อขึ้นทุกปี ๆ นะครับ)
ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางไม่ว่าจะเป็น ค่าเล่าเรียน หรือค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
พอดูตัวเลขเป้าหมายแล้วไม่น้อยเลยนะครับ แต่ถ้าเรานำเงินไปลงทุนให้เหมาะสม ก็เหมือนมีตัวช่วยดี ๆ มาช่วยแบ่งเบาล่ะครับ
วันนี้ผม อิก บรรพต จากช่อง ถามอีก กับอิก #ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้
ชวนทุกท่านมารู้จักกับอีกหนึ่งตัวช่วยการลงทุนเพื่อลูก ttb smart port กันครับ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ ttb smart port กันก่อน
ttb smart port เป็น Rebalancing Portfolio ติดตามและปรับพอร์ตกองทุนให้อัตโนมัติทุกเดือน กองทุนรวมสำเร็จรูปที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Thanachart Fund Eastspring บลจ. สัญชาติไทยที่มีความชำนาญในตลาดทุนไทยมากว่า 25 ปี และ Amundi Asset Management ผู้จัดการกองทุนระดับท็อปของโลก ที่มีสินทรัพย์อันดับ 1 ของยุโรป (ที่มา : เว็บไซต์ Amundi ข้อมูล ณ มิ.ย. 63)
จุดเด่นคือ มีผู้เชี่ยวชาญช่วย คัด/จัด/ปรับ แผนการลงทุนที่เหมาะสม จาก 30,000 กองทุนทั่วโลกให้เรา ซึ่งเป็นการลงทุนตรงไปต่างประเทศ ไม่ได้ลงทุนผ่านกองทุนในไทย
โดย ttb smart port มี 3 กลยุทธ์สำคัญที่ใช้ในการจัดพอร์ตกองทุน
1. Fund Selection: การคัดเลือกกองทุนที่มีคุณภาพ ผลการดำเนินงานดีจากทั่วโลก
2. Asset Allocation: จัดสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสม ตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่พวกเราคาดหวัง
3. Rebalancing Portfolio: มีทีมผู้จัดการกองทุนติดตามพอร์ตการลงทุน และปรับพอร์ตเพื่อความเหมาะสมให้อัตโนมัติทุกเดือน หรือเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตลาด
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีหลักการลงทุนอยู่ 3 ข้อที่ใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่ง ttb smart port ก็ตอบโจทย์ได้ดีครับ
แต่ก่อนที่ผมจะเล่าหลักการ 3 ข้อของผม เราลองมาดูหน้าเว็บไซต์จริง ๆ กันก่อนดีกว่า จะได้เห็นภาพมากขึ้น
เริ่มต้นไปที่เว็บไซต์ https://www.ttbbank.com/tsp
จะเห็นสโลแกน “ลงทุนง่าย สบายใจ ใคร…ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนดี”
จากนั้นเราก็คลิกปุ่มที่บอกว่า “ลองตั้งเป้าเลย เริ่มแค่ 1 บาท” โห… 1 บาทก็ลงทุนได้แล้วนะครับ
หลังจากนั้น ระบบจะให้เรากรอกเป้าหมายการลงทุนครับ ซึ่งเป้าหมายที่ดีเราต้องบอกให้ชัดเลยครับว่า
จุดประสงค์คืออะไร = เงินขวัญถุงสำหรับน้องปันผล
เป้าหมายเงินแค่ไหน = สำหรับผมคือ 10 ล้านบาท
และต้องระบุระยะเวลาให้ชัด กรณีนี้ผมตั้งใจเก็บเงินให้น้องปันผลตอนเรียนจบ ซึ่งปกติก็ต้องอายุ 22 ปี นั่นแปลว่ามีระยะเวลาออมเงินและลงทุน 21 ปี เพราะตอนนี้น้องปันผลอายุ 1 ขวบพอดีครับ
ส่วนช่องถัดมา จะเห็นว่าระบบให้เราเลือกว่า ความเสี่ยงการลงทุนที่เรารับได้อยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งความเสี่ยงที่เราระบุตรงนี้ระบบจะใช้ในการเสนอพอร์ตลงทุนให้ ในขั้นต่อไป
สำหรับผม รับความเสี่ยงได้สูงสุดสำหรับเงินก้อนนี้ เพราะน้องปันผลยังเด็ก รับความเสี่ยงได้มาก ก็เลยเลือก “มีสิทธิ์ +/- 10% หรือมากกว่า” ซึ่งหมายถึงบางช่วงเวลาพอร์ตมีโอกาสขาดทุน 10% หรือมากกว่าก็ได้
พอกรอกเสร็จเราก็คลิก ปุ่ม “มาดูแผนที่เป็นไปได้กัน”
หลังจากนั้นจะมีคำเตือนเด้งขึ้นมา (ตามรูป) อธิบายง่าย ๆ ก็คือเพื่อให้พวกเราทำความเข้าใจครับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง เพราะข้อมูลในอดีตไม่สามารถวิเคราะห์อนาคตได้ 100%” นั่นเอง
พอเราเข้าใจแบบนี้แล้ว ก็กดคลิก “เริ่มต้นใช้งาน” ได้เลยครับ
สิ่งที่เห็นในหน้านี้คือ แผนการลงทุนที่ ttb smart port แนะนำ โดยประเมินจากระดับความเสี่ยงในขั้นตอนก่อนหน้านี้ แล้วพอร์ตแต่ละ แบบเป็นยังไง ลงทุนในอะไร ไปดูกันครับ
ผมมีเกริ่นไว้ตอนต้นว่า ttb smart port ตอบโจทย์หลักการลงทุนของผม 3 ข้อจำได้หรือไม่ครับ มาเริ่มกันที่ข้อแรกกันเลยครับ
ข้อที่ 1: เลือกกองทุนรวมที่เหมาะกับตัวเรา
ttb smart port มีแผนการลงทุน 5 แบบด้วยกันครับ
1. ttb smart port 1 preserver (tsp1-preserver)
ปัจจุบันกองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 80% และ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% กองทุนมีความเสี่ยงระดับที่ 4
กองทุนนี้ตรงตามชื่อภาษาอังกฤษเลยครับคือเน้นปกป้องเงินต้น เพราะรับความเสี่ยงได้ต่ำ
แต่คาดหวังผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และยอมรับผลตอบแทนที่อาจจะต่ำกว่าหุ้นได้
2. ttb smart port 2 nurturer (tsp2-nurturer)
เป้าหมายของกองทุนนี้คือ การเอาชนะเงินเฟ้อในระยะสั้นถึงกลาง ซึ่งยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ ต่ำ เป็นกองทุนที่ค่อย ๆ เติบโต ค่อย ๆ ทะนุถนอมให้โตไปเรื่อย ๆ (นโยบายลงทุนของกองทุนคือลงทุนในตราสารทุนไม่เกิน 40
ปัจจุบันนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 40%, ตราสารหนี้ต่างประเทศ 40%, ตราสารทุนในประเทศ 10% และตราสารทุนต่างประเทศ 10% %) กองทุนมีความเสี่ยงระดับที่ 5
3. ttb smart port 3 balancer (tsp3-balancer)
กองทุนนี้จะเน้นการสร้างสมดุล ระหว่างการรักษาเงินต้น กับการสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้น โดยมีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนไม่เกิน 80%
ตอนนี้มีการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 20%, ตราสารหนี้ต่างประเทศ 30%, ตราสารทุนในประเทศ 20% และตราสารทุนต่างประเทศ 30% กองทุนมีความเสี่ยงระดับที่ 5
เหมาะกับ คนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ แต่ไม่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนได้มากนัก
4. ttb smart port 4 explorer (tsp4-explorer)
กองทุนนี้ลงทุนในตราสารทุนได้ตั้งแต่ 0-100% ขึ้นอยู่กับผู้จัดการกองทุนว่ามีมุมมองการลงทุนช่วงนั้นอย่างไร
ปัจจุบันเน้นลงทุน ตราสารหนี้ในประเทศ 10%, ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%, ตราสารทุนในประเทศ 25% และ ตราสารทุนต่างประเทศ 45% กองทุนมีความเสี่ยงระดับที่ 5
เท่ากับว่า ลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศรวมกันประมาณ 70% ที่เหลือ 30% คือตราสารหนี้ เหมาะสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยจะลดความผันผวนด้วยการลงทุนในตราสารหนี้
5. ttb smart port 5 go-getter (tsp5-gogetter)
มีเป้าหมายเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น (มีนโยบายการลงทุนคือลงทุนในตราสารทุนไม่น้อยกว่า 80%)
ปัจจุบันกองทุนจะลงทุนในตราสารทุนในประเทศ 30% และตราสารทุนต่างประเทศ 70% ซึ่งเป็นกองทุนมีความเสี่ยงระดับที่ 6
เพราะฉะนั้นความเสี่ยงสูงครับ และมีความผันผวนมากอย่างแน่นอนครับ
จะเห็นว่า หัวใจสำคัญคือ แต่ละกองทุนก็จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนต่างกัน และความเสี่ยงเองก็ไม่เหมือนกันครับ
เพราะฉะนั้น เราต้องประเมินความเสี่ยงที่รับได้ และเลือกกองทุนให้เหมาะสมกับเราครับ
กลับมาที่ข้อมูลที่เรากรอกกันเอาไว้ เมื่อรู้แล้วว่าแต่ละพอร์ตมีลักษณะการลงทุนแบบไหน ก็กดเลือกแบบที่เหมาะกับเราได้เลยครับ
เช่น กรณีของผม ttb smart port เสนอพอร์ตที่เหมาะมาให้คือ ttb smart port 4 explorer (tsp4-explorer) และ ttb smart port 5 go-getter (tsp5-gogetter)
บางแผนการลงทุนก็จะให้เราใส่เงินลงทุนก้อนแรก แล้วให้เงินเติบโตไปตามผลตอบแทน 21 ปี เพื่อให้เราไปถึงเป้าหมาย 10 ล้านบาท
บางแผนการลงทุนก็จะให้เราใส่ทั้งเงินลงทุนก้อนแรก และมีใส่เงินลงทุนต่อเดือนเพิ่มเติม
ถูกใจแผนการลงทุนไหน ที่เหมาะกับความเสี่ยงที่เรารับได้ ก็คลิก “แบบนี้แหละใช่”
ส่วนตัวผมเลือก แบบที่ไม่ต้องใส่เงินก้อนแรกเลย แต่ต้องลงทุนต่อเดือน 13,640 บาท เป็นระยะเวลา 21 ปี (ซ้ายมือสุด) ครับ
ง่ายนะครับ ไม่กี่คลิกเอง และใช้เวลาไม่กี่นาที เราก็จะได้แผนการลงทุนของเราแล้วครับ
และถ้าอ่านคำอธิบายแล้วชอบ และพร้อมที่จะลงทุน ก็กดปุ่ม “ลงทุนเลยผ่าน ttb touch”
ข้อที่ 2 ลงทุนสม่ำเสมอแบบ DCA หรือ Dollar Cost Averaging
ระบบของ ttb smart port มีบริการลงทุนในรูปแบบ DCA ซึ่งจะทำให้เราสามารถลงทุนในกองทุนได้ในทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ แบบอัตโนมัติ
คุณพ่อ คุณแม่ ก็จะได้มีเวลาเลี้ยงลูกและทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของตลาดครับ
ยกตัวอย่าง จากการคำนวณเพิ่มเติมจากเครื่องมือการวางแผนการลงทุนของ ttb smart port ที่ผมเลือกไว้ก็จะเห็นว่า ระบบให้ผมลงทุนเดือนละ 13,640 บาท ในระยะเวลา 21 ปี ก็มีโอกาสได้ 10 ล้านบาทตามเป้าหมาย (โดยอ้างอิงผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนจาก เว็บไซต์ https://www.ttbbank.com/tsp)
เนื่องจากเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น นั่นแปลว่าผลตอบแทนระยะสั้นอาจจะขึ้น ๆ ลง ๆ บ้าง แต่ในระยะยาว ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนตามที่วางแผนไว้ และยังช่วยให้เราสามารถลงทุนได้อย่างมีวินัยมากขึ้น พร้อมลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะได้ด้วยครับ
ข้อที่ 3 หมั่นทำความเข้าใจสิ่งที่เราลงทุน
การลงทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกช่วยบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของเรา อย่าง ttb smart port จะช่วยให้ลงทุนได้มีประสิทธิภาพ และสะดวกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวผมมองว่า การทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองลงทุนก็สำคัญมากเช่นกันครับ การที่เรารู้ว่าเราลงทุนอะไรอยู่ และสไตล์การปรับพอร์ตเป็นแบบไหน ทำให้ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนข้องเรา เช่น วิกฤตโควิด-19 เราก็จะสามารถประเมินผลกระทบต่อพอร์ตของเราได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นสไตล์การลงทุนส่วนตัวของผม ก็จะขอเข้าไปดูหน่อยว่า ตอนนี้พอร์ตเราลงทุนในกองไหน หรือสินทรัพย์ไหนบ้าง อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพราะระบบจะปรับพอร์ตเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งสามารถเข้าไปดูที่เว็บไซต์ https://www.ttbbank.com/tsp หรือแอป ttb touch ได้เลย
จุดเด่นอีกอย่างคือ ทางผู้จัดการกองทุนจะเขียนอธิบายรายงานประจำเดือนว่า เขามีมุมมองต่อการลงทุนช่วงนี้ยังไง และจัดสรรพอร์ตลงทุนแบบไหน ก็จะยิ่งช่วยทำให้เราเข้าใจสไตล์การลงทุนได้มากขึ้น การลงทุนได้ยาว ๆ แบบสบายใจ
ความเห็นของ ถามอีก กับอิก
จะเห็นว่า ttb smart port ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อ คุณแม่ที่อยากลงทุนให้ได้ตามเป้าหมายให้กับคุณลูกได้
โดยมีทีมงานมืออาชีพระดับโลกคอยติดตามและปรับพอร์ตให้เราตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ด้วยระบบที่ถูกออกแบบมาอย่างดี และใช้งานง่าย เพียงไม่กี่คลิก ก็สามารถเลือกแผนการลงทุนที่เหมาะกับตัวเราได้แล้วครับ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการลงทุน เพราะกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 1 บาทเท่านั้น
ส่วนประเด็นเรื่องค่าธรรมเนียมก็น่าสนใจครับ มีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการรายปี (ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกลงทุนแผนไหนด้วยครับ)
แต่ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และยกเว้นค่าธรรมเนียมขาออก ในกรณีที่ถือหน่วยลงทุนนานเกิน 1 ปี ทำให้เหมาะมากสำหรับเป้าหมายลงทุนระยะยาวแบบนี้
ส่วนการปรับพอร์ต เราสามารถปรับพอร์ต ซื้อ-ขาย สับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการ สามารถทำได้ตลอดเวลา แม้อยู่ในช่วงปรับพอร์ต ในกรณีที่มีการทำรายการขาย เราก็จะได้รับเงินค่าขายคืนภายใน 5 วันทำการ
แต่แน่นอนครับว่า การลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยง อย่าลืมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมให้เข้าใจก่อนการลงทุน โดยสามารถติดต่อได้ที่ ttb investment line โทร. 1428 กด #4
ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09:00 – 17:30 น. (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร)
ขอรับหนังสือชี้ชวน และลงทุน ได้ที่ ทีทีบี ทุกสาขา
สนใจลงทุนที่แอป ttb touch : https://www.ttbbank.com/newtsp/invest
#ถามอีกกับอิก #ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้
