tam-eig.com

เทรนด์ชีวิต เทรนด์ลงทุน “เมื่อตลาดหุ้นไร้พรมแดน“ SET in the City 2021

เทรนด์ชีวิต เทรนด์ลงทุน “เมื่อตลาดหุ้นไร้พรมแดน“ SET in the City 2021

อย่าลืม Subcribe จะได้ไม่พลาด

Facebook | Youtube | Line | Website

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี หรือโอกาสในการลงทุน Ecosystem ของการลงทุนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นกัน จึงทำให้พวกเราในฐานะนักลงทุน ต้องคอยมองหาโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ ๆ เลยใช่หรือไม่ครับ

ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศ ในงานสัมนา SET in the City 2021 เทรนด์ชีวิตเทรนด์ลงทุน “เมื่อตลาดหุ้นไร้พรมแดน“ ที่ได้เล่าให้ฟังถึงมุมมองและโอกาสต่าง ๆ  ในการปรับตัวสำหรับนักลงทุน วันนี้เลยอยากจะมาแชร์ให้ฟังครับ

วิทยากร:

  • ดร.รินใจ ชาคร

รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

  • คุณชวินดา หาญรัตนกุล

กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

  • คุณบรรณรงค์ พิชญากร

กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

  • ดร. จิติพล พฤกษาเมธานันท์

นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด

ดำเนินรายการโดย

  • อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข AFPT

“นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นอะไร”

คุณชวินดา หาญรัตนกุล: ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมและโอกาสการลงทุนในต่างประเทศที่มีมากขึ้น ทั้งเรื่องของระบบ Settlement ที่ได้พัฒนามาเป็นระยะเวลานานเริ่มลงตัวมากขึ้น ความเข้าใจในการลงทุนที่มากขึ้นของนักลงทุนไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็น Aging Society ทำให้มีการออมสูงขึ้นทุกปี โดยมีงานวิจัยพบว่า ตัวเลขการเติบโตในกองทุนรวมของไทยจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจนถึงปี 2025 ทำให้ผู้จัดการกองทุนต่างก็เห็นโอกาสในการนำเงินของนักลงทุนไปกระจายการลงทุนให้เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องให้นักลงทุน  ซึ่งทาง บลจ.ต่างก็ได้มีการวางแผนเพื่อหาโอกาสกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับนักลงทุนไทย

คุณบรรณรงค์ พิชญากร: โควิด-19 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักลงทุนไทยหันไปสนใจการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ด้วย Sector ในไทยที่แตกต่างจากเทรนด์โลกที่กำลังเติบโตด้วยกลุ่ม IT และ ESG ซึ่งถือว่าทำผลงานได้ดีในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา 

โดยตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปี 2021 หุ้นไทยมีแนวโน้มที่ค่อนข้าง Side Way และยังไม่มีหุ้นที่สามารถผลักดันให้ตลาดเติบโตสูงมาก ๆ ได้ ขณะที่ตลาดอื่น ๆ ทั่วโลกดูเหมือนจะเป็นโอกาสสำหรับเรา ดังนั้น จึงมองว่าการกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศมีผลดีแน่นอน อีกทั้งด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในไทยที่มีความผ่อนคลายมากขึ้น ก็ช่วยผลักดันให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

ดร. จิติพล พฤกษาเมธานันท์: ในช่วงปี 2020-2022 จะเป็นปีที่ภาพการลงทุนเปลี่ยนไปสู่โลกไร้พรหมแดน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน ได้แก่

1.) Deglobalization ปี 2020 เป้าหมายของประเทศทั่วโลกได้เปลี่ยนไป และความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศแต่ละประเทศเริ่มสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนตระหนักมากขึ้นว่า การลงทุนหรือผูกกระเป๋าไว้กับประเทศใดประเทศหนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องดี 

2.) Decentralization ปี 2021 นักลงทุนได้มีโอกาสลองการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น และไม่ยึดติดกับสินทรัพย์เดิม ๆ อีกต่อไป

3.) Disruption ปี 2022 เทคโนโลยีจะเริ่มเข้ามาคาบเกี่ยวหลาย ๆ อุตสาหกรรมมากขึ้น 

การเปลี่ยนแปลงใน 3 เรื่องนี้ล้วนทำให้ตลาดทุนมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด และทำให้แนวคิดของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไป การเลือกลงทุนหุ้นรายตัวอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป แต่ต้องเป็นการเลือกธีมการลงทุนที่ถูกต้อง 

เรื่องของมุมมองสัดส่วนการลงทุนที่เดิมมองว่าการลงทุนต่างประเทศไม่ปลอดภัย แต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเหตุการณ์หลายอย่างทำให้เราเห็นว่าเราสามารถออกไปลงทุนข้างนอกได้ และได้ยังรับผลตอบแทนที่โดดเด่น นอกจากนี้ ในต่างประเทศอย่างอเมริกาหรือจีนที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ จึงทำให้มองว่า การเปิดโลกไร้พรหมแดนในรอบนี้เป็นโอกาสมากกว่าความเสี่ยงในการลงทุน

“ในมุมผู้จัดการกองทุน เข้าไปตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้อย่างไร”

คุณชวินดา หาญรัตนกุล: ในมุมของ บลจ. มองเห็นปัญหาของนักลงทุนรายย่อยในการก้าวไปลงทุนต่างประเทศ นั่นคือความเข้าใจในการลงทุน อีกทั้งมีประเด็นหลายอย่างที่ต้องทำความเข้าใจ ทำให้ความเสี่ยงมีเยอะขึ้น จึงพยายามเข้าไปตอบโจทย์โดยสร้างช่องทางการเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้นักลงทุนได้ศึกษาและยังเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารกับนักลงทุนได้อย่างแท้จริง

คุณบรรณรงค์ พิชญากร; ปัจจุบัน ทางเลือกสำหรับการลงทุนในต่างประเทศก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น

  • Foreign investment fund (FIF) ที่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาและต้องการให้มืออาชีพช่วยดูแล ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการเติบโตเยอะมาก

  • Exchange Traded Fund (ETF) มีข้อดีคือสามารถซื้อขายได้ Real Time เหมือนการซื้อหุ้น หรือการลงทุนผ่าน

  • Foreign Index Derivative Warrant (DW) ซึ่งเป็นตราสารที่ใช้เก็งกำไรโดยเฉพาะ นักลงทุนจึงต้องมีความเข้าใจอย่างมากก่อนเข้าไปลงทุน

  • Depositary Receipt (DR) ที่มีข้อจำกัดคือตอนนี้ยังมีแค่ตัวเดียวที่ลงทุนผ่าน ETF ของตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเหมือนเป็นการยกทั้งตลาดเวียดนามมาอยู่ในตลาดไทย สามารถซื้อขายผ่าน Streaming ได้เลย

  • การซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรงไม่ว่าจะเป็นหุ้น QQQ, TESLA , APPLE หรือ TENCENT และอีกหลายตัว แต่การซื้อโดยตรงนี้ค่อนข้างมีต้นทุนเยอะ จึงเหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ และมีพอร์ตใหญ่พอที่จะสามารถกระจายความเสี่ยงได้

ซึ่งแต่ละทางเลือกก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันและไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน จึงอยากให้ศึกษาให้ดีก่อนลงทุนและแนะนำให้คนที่เริ่มต้นลงทุน ลงทุนผ่านกองทุนรวมก่อนเพราะเป็นวิธีที่ง่ายและใช้เม็ดเงินในการเริ่มต้นไม่มาก

“สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2022”

ดร. จิติพล พฤกษาเมธานันท์: โลกที่ไร้พรหมแดนและเทคโนโลยีได้เข้ามาทำให้การลงทุนในอนาคตเป็นเรื่องง่าย และใกล้ตัวกว่าเดิม ทางบลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จึงได้แบ่งธีมการลงทุนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.) ธีมการลงทุนระยะสั้น (ช่วง 3-12 เดือน) ที่โลกยังต้องเจอเรื่องของเงินเฟ้อและการมีการปรับขึ้นของดอกเบี้ย เป็นจุดที่นักลงทุนต้องมีการเตรียมพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 2.) ธีมการลงทุนในอนาคต (ช่วง 6-12 ปี) ที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้นทุนเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจะกลับมาเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ หรือเรื่องของการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเงิน การศึกษา และการจับจ่ายใช้สอย แต่บางครั้งเรื่องของเทคโนโลยและสิ่งแวดล้อม ก็ไม่ได้อยู่ในใจนักลงทุนอย่างแท้จริง เนื่องจากนักลงทุนยังไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรง จึงอาจนึกภาพไม่ออกว่าเรื่องของเทคโนโลยีหรือสิ่งแวดล้อมจะเข้ามามีความสำคัญได้อย่างไร แต่สิ่งที่จะนักลงทุนได้เห็นจริง ๆ คือการเปลี่ยนแปลงในเชิงสังคม เช่น หุ้นในกลุ่ม Re-opening ที่มีผลกระทบกับภาพรวมของสังคมในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้  ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงนักลงทุนหรือทำให้นักลงทุนได้มีประสบการณ์กับมันมากขึ้น โอกาสที่จะเห็นหุ้นกลุ่มนั้นมี P/E Multiple ปรับตัวอย่างรวดเร็วก็มากขึ้นตามไปด้วย

จุดหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศได้นั่นก็คือ วิธีการมองสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไป เดิมนักลงทุนส่วนมากอาจเป็น Value Investor ที่มองว่าเศรษฐกิจไหนโตหรือหุ้นตัวไหนถูก ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ แต่เมื่อโอกาสเข้ามามากขึ้น ทำให้ต้องแข่งขันกับนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น  เราก็ต้องมองภาพให้เหมือนที่นักลงทุนต่างประเทศมอง คือการให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ต้องผนวกและคิดไปพร้อมกับการลงทุน

คุณชวินดา หาญรัตนกุล: ทางบมจ. กรุงไทย เห็นโอกาสการลงทุนใน ESG ที่เน้นหาผลตอบแทนการลงทุนไปพร้อมกับเรื่องของสังคม ซึ่งปัจจุบันผู้จัดการกองทุนไม่ได้หาแค่ผลตอบแทนให้นักลงทุน แต่ขณะเดียวกันก็ ต้องมองเรื่องของสังคมและการดูแลโลกไปพร้อม ๆ กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ทางโซนยุโรปถือว่าไปเร็วมาก ส่วนอเมริกา และจีน ก็กำลังตามไป ทำให้ในอนาคตอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้น(ในทางที่ดี) และในปีหน้าทาง บมจ. ก็จะมีธีม Global ESG เข้ามามาเป็นทางเลือกให้นักลงทุนมากขึ้น

คุณบรรณรงค์ พิชญากร: ขณะเดียวกัน บมจ.บัวหลวง ก็มองเห็น Global Trend ในอนาคตเช่นกัน ทั้งเรื่องของ Digitalization , Environmental Protection, Aging Society และ Low Interest Rate ซึ่งเป็นตัวสำคัญ เพราะมองว่า ดอกเบี้ยจะยังคงต่ำทำให้นักลงทุนแสวงหาทางเลือกการลงทุนใหม่มากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็ต้องมองหาว่า เทรนด์เหล่านี้มีหุ้นในไทยหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อาจต้องขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ และนักลงทุนสามารถใช้วิธีการลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar Cost Averaging โดยการกำหนดเงินลงทุนไปแล้วซื้อซ้ำกันทุกเดือน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยเฉพาะการลงทุนในระยะยาว และด้วยทางเลือกการลงทุนที่มีหลากหลายการกระจายพอร์ตการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ

โดยทั้ง 3 ท่านมองว่า จุดที่มองว่าน่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนช่วงนี้คือ “การลงทุนตามธีม”และเชื่อว่านักลงทุนมีความพร้อมแล้วในระดับหนึ่ง เนื่องจากในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาเราได้เห็นกระแสการตอบรับที่ดีจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เป็นธีมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ETF หรือ Mutual Fund  และสำหรับใครก็ตามที่อยากจับจังหวะการลงทุนแต่ติดประเด็นเรื่องของกฎหมายและภาษี ไม่อยากเอาเงินไปข้างนอก ตอนนี้กองทุนหลายกองก็ได้ออกมาแล้ว แต่ส่วนมากยังเป็นธีมใหญ่ ๆ ซึ่งในอนาคตจะก็จะมีกองทุนหลายๆ แบบออกมาเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนไทยมากยิ่งขึ้น

ด้วยโลกยุคปัจจุบันที่ข่าวสารข้อมูลหลั่งไหลมากมาย จนทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในโลกนี้รวดเร็วมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่าจะมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา อยากให้นักลงทุนอยู่กับความเสี่ยงให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาใหม่ จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้และมีความเข้าใจในการลงทุน อย่าลงทุนโดยไม่มีความรู้ ซึ่งวิธีหาความรู้ง่าย ๆ ก็คือการติดตามข่าวสารและรายงานต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลให้นักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้กับการลงทุนได้

ขอให้ทุกคนโชคดีในการลงทุนครับ

ถามอีก กับอิก #ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้

Exit mobile version