“สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2022”
ดร. จิติพล พฤกษาเมธานันท์: โลกที่ไร้พรหมแดนและเทคโนโลยีได้เข้ามาทำให้การลงทุนในอนาคตเป็นเรื่องง่าย และใกล้ตัวกว่าเดิม ทางบลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จึงได้แบ่งธีมการลงทุนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.) ธีมการลงทุนระยะสั้น (ช่วง 3-12 เดือน) ที่โลกยังต้องเจอเรื่องของเงินเฟ้อและการมีการปรับขึ้นของดอกเบี้ย เป็นจุดที่นักลงทุนต้องมีการเตรียมพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
2.) ธีมการลงทุนในอนาคต (ช่วง 6-12 ปี) ที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้นทุนเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจะกลับมาเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ หรือเรื่องของการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเงิน การศึกษา และการจับจ่ายใช้สอย แต่บางครั้งเรื่องของเทคโนโลยและสิ่งแวดล้อม ก็ไม่ได้อยู่ในใจนักลงทุนอย่างแท้จริง เนื่องจากนักลงทุนยังไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรง จึงอาจนึกภาพไม่ออกว่าเรื่องของเทคโนโลยีหรือสิ่งแวดล้อมจะเข้ามามีความสำคัญได้อย่างไร แต่สิ่งที่จะนักลงทุนได้เห็นจริง ๆ คือการเปลี่ยนแปลงในเชิงสังคม เช่น หุ้นในกลุ่ม Re-opening ที่มีผลกระทบกับภาพรวมของสังคมในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงนักลงทุนหรือทำให้นักลงทุนได้มีประสบการณ์กับมันมากขึ้น โอกาสที่จะเห็นหุ้นกลุ่มนั้นมี P/E Multiple ปรับตัวอย่างรวดเร็วก็มากขึ้นตามไปด้วย
จุดหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศได้นั่นก็คือ วิธีการมองสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไป เดิมนักลงทุนส่วนมากอาจเป็น Value Investor ที่มองว่าเศรษฐกิจไหนโตหรือหุ้นตัวไหนถูก ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ แต่เมื่อโอกาสเข้ามามากขึ้น ทำให้ต้องแข่งขันกับนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น เราก็ต้องมองภาพให้เหมือนที่นักลงทุนต่างประเทศมอง คือการให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ต้องผนวกและคิดไปพร้อมกับการลงทุน
คุณชวินดา หาญรัตนกุล: ทางบมจ. กรุงไทย เห็นโอกาสการลงทุนใน ESG ที่เน้นหาผลตอบแทนการลงทุนไปพร้อมกับเรื่องของสังคม ซึ่งปัจจุบันผู้จัดการกองทุนไม่ได้หาแค่ผลตอบแทนให้นักลงทุน แต่ขณะเดียวกันก็ ต้องมองเรื่องของสังคมและการดูแลโลกไปพร้อม ๆ กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ทางโซนยุโรปถือว่าไปเร็วมาก ส่วนอเมริกา และจีน ก็กำลังตามไป ทำให้ในอนาคตอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้น(ในทางที่ดี) และในปีหน้าทาง บมจ. ก็จะมีธีม Global ESG เข้ามามาเป็นทางเลือกให้นักลงทุนมากขึ้น
คุณบรรณรงค์ พิชญากร: ขณะเดียวกัน บมจ.บัวหลวง ก็มองเห็น Global Trend ในอนาคตเช่นกัน ทั้งเรื่องของ Digitalization , Environmental Protection, Aging Society และ Low Interest Rate ซึ่งเป็นตัวสำคัญ เพราะมองว่า ดอกเบี้ยจะยังคงต่ำทำให้นักลงทุนแสวงหาทางเลือกการลงทุนใหม่มากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าเงินเฟ้อ และนักลงทุนก็ต้องมองหาว่า เทรนด์เหล่านี้มีหุ้นในไทยหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อาจต้องขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ และนักลงทุนสามารถใช้วิธีการลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar Cost Averaging โดยการกำหนดเงินลงทุนไปแล้วซื้อซ้ำกันทุกเดือน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยเฉพาะการลงทุนในระยะยาว และด้วยทางเลือกการลงทุนที่มีหลากหลายการกระจายพอร์ตการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ
โดยทั้ง 3 ท่านมองว่า จุดที่มองว่าน่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนช่วงนี้คือ “การลงทุนตามธีม”และเชื่อว่านักลงทุนมีความพร้อมแล้วในระดับหนึ่ง เนื่องจากในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมาเราได้เห็นกระแสการตอบรับที่ดีจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เป็นธีมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ETF หรือ Mutual Fund และสำหรับใครก็ตามที่อยากจับจังหวะการลงทุนแต่ติดประเด็นเรื่องของกฎหมายและภาษี ไม่อยากเอาเงินไปข้างนอก ตอนนี้กองทุนหลายกองก็ได้ออกมาแล้ว แต่ส่วนมากยังเป็นธีมใหญ่ ๆ ซึ่งในอนาคตจะก็จะมีกองทุนหลายๆ แบบออกมาเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนไทยมากยิ่งขึ้น
ด้วยโลกยุคปัจจุบันที่ข่าวสารข้อมูลหลั่งไหลมากมาย จนทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในโลกนี้รวดเร็วมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่าจะมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา อยากให้นักลงทุนอยู่กับความเสี่ยงให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาใหม่ จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้และมีความเข้าใจในการลงทุน อย่าลงทุนโดยไม่มีความรู้ ซึ่งวิธีหาความรู้ง่าย ๆ ก็คือการติดตามข่าวสารและรายงานต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลให้นักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้กับการลงทุนได้