#ถันอี้ #谈亿 #ถามอีกกับอิกเรื่องลงทุนจีน
สนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ที่จะพาคุณก้าวไปสู่การลงทุนที่มากกว่า CGS-CIMB Asia’s Financial Gateway
========
1. หลังจากที่เกิดเหตุการณ์การระบาดของโรคโคโรนาไวรัส ในเมืองหวู่ฮั่น มีหุ้นอยู่กลุ่มหนึ่งที่ร่วงหนักมาก ๆ นั่นคือหุ้นกลุ่มสินค้าหรูครับ
เช่น Burberry มูลค่าตลาดประมาณ 3.6 แสนล้านบาท ร่วงไป 10%
Kerring เจ้าของแบรนด์ดัง ทั้ง Bottega Veneta, Balenciaga, Gucci, Alexander McQueen, Qeelin ฯลฯ มีมูลค่าตลาด 2.5 ล้านล้านบาท ร่วงไป 7%
Richemont เจ้าของแบรนด์นาฬิกาและจิวเวอรี่ชื่อดัง เช่น IWC, Panerai, Piaget, Vacheron Constantin และ Cartier ฯลฯ มูลค่าตลาด 1.3 ล้านล้านบาท ร่วงไป 6.3%
Swatch เจ้าของแบรนด์นาฬิกาชื่อดัง ที่มีมูลค่า 4.2 แสนล้านบาท ถูกเท 6%
“ทำให้มูลค่าตลาดร่งรวมกัน 7 แสนล้านบาทในเวลาไม่กี่วัน” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ทั้ง ๆ ที่ตลาดหุ้นสหรัฐเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติการณ์ (อย่างไม่สนใจตลาดอื่น ๆ)
========
2. ทำไมหุ้นสินค้าหรู เหล่านี้ร่วงหนักทั้ง ๆ ที่ตลาดหุ้นภาพใหญ่ยังดูดี?
เหตุผลหลัก ๆ ที่น่าจะอธิบายได้คือ นักลงทุนกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดของโรคระบาดโคโรนาไวรัส หวู่ฮั่น ครับ
“จากมูลค่าตลาดสินค้าหรู ที่ได้ขายได้ในแต่ละปีสูงถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญ เป็นคนจีนที่ซื้อไปในสัดส่วนกว่า 32%!!” โอว….. 1 ใน 3 ของสินค้าหรูทั้งโลก เป็นยอดซื้อจากคนจีนในปีที่ผ่านมาครับ
สัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกัน และตามมาด้วยชาวยุโรป โหดมาก ๆ ครับ
เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2012 ที่ตอนนั้นคนจีนซื้อในสัดส่วน 19% และคาดการณ์ว่าในปีนี้จะเพิ่มเป็น 35% และอาจจะเพิ่มเป็น 40% ในปี 2025 (จากการคาดการณ์ของ Mckinsey)
ฟังดูแล้วน่าตกใจมากครับ ว่าสัดส่วนมากขนาดนี้
========
3. เมื่อรายได้หลักของสินค้าหรูมาจาก คนจีน
นอกจากนี้ถ้าไปดูไส้ในของรายได้ของหุ้นแบรนด์หรู จะเห็นว่าเป็นสัดส่วนที่น่าตกใจเช่นกันครับ
“Swatch มียอดขายมาจากคนจีนมากถึง 50%” , “Burberry ทำรายได้สัดส่วน 40% มาจากคนจีน” เท่ากับ Richemont ที่มียอดขายจากคนจีน 40%
งั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม ราคาหุ้นถึงร่วงหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
========
4. ข้อมูลที่น่าสนใจคือ คนจีนที่ซื้อแบรนด์หรูๆเหล่านี้เป็นคนรุ่นใหม่ครับ อายุ 18-24 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสัดส่วนประมาณ 71% (สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในจีน)
“โดยส่วนใหญ่เป็นการซื้อสินค้าหรูในต่างประเทศในสัดส่วน 73% และซื้อในประเทศจีนเพียง 27%”
นั่นหมายความว่าถ้าคนจีนออกเดินทางไปเที่ยวไม่ได้ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อหุ้นสินค้าหรู อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
========
5. ข้อมูลที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ
การแพร่ระบาดของโรค SARS ครั้งที่แล้ว ช่วงปี 2002 ราคาหุ้นกลุ่มสินค้าหรูเหล่านี้ร่วงเฉลี่ยประมาณ 30-50%
แต่พอสถานการณ์ควบคุมได้ แม้จะยังไม่สะเด็ดน้ำดี แต่ราคาหุ้นกลุ่มนี้กลับดีดกลับแบบรัว ๆ และในท้ายที่สุดก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ (แต่ก็ใช้เวลานาน 1-2 ปี)
========
ความเห็นของ #ถันอี้ #谈亿 #ถามอีกกับอิกเรื่องลงทุนจีน
1. การติดตามราคาหุ้นของกลุ่มสินค้าหรูนี้น่าจะพอเป็นสัญญานเบื้องต้นได้ว่าสถานการณ์ไวรัสโคโรนา จะดีขึ้นหรือ แย่ลงหรือไม่ (บนสมมติฐานว่านักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันมีข้อมูลที่มากกว่าและอาจจะเร็วกว่านักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรา)
2. ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้คงจะมีหุ้นที่เกี่ยวข้องน่าจะถูกเทมาเยอะ ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจะถามกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงและการตั้งรับของผู้บริหาร
3. แต่สิ่งที่สำคัญอย่า panic ตกใจมากเกินไป เพราะถ้าพื้นฐานยังดี และมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงชั่วคราว อนาคตก็มีโอกาสกลับมาได้เช่นกัน
ปล.ขอให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วนะค้าบ
========
เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต
อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย
ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE