Site icon tam-eig.com

ด่วน! ปู่บัฟเฟตต์ให้ข้อคิดอะไรในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น (ตอนที่ 3)

#ลงทุนนอกโลก โดยถามอีกกับอิก

 

รอบนี้ปู่ดูจะเน้นพูดถึงพลังของ retained earnings กำไรสะสม หรือการที่เอากำไรที่ได้ไปลงทุนต่อพอควรเลยครับ

 

สำหรับตอนนี้จะเน้นไปที่แนวคิดการซื้อกิจการว่าเหมือนกับการแต่งงานยังไง และธุรกิจประกันทำให้ Berkshire มีความได้เปรียบยังไง?

 

ลุยโลด!

 

========

 

1. คุณปู่ยกย่อง Tom Murphy ผู้บริหารที่ Berkshire และเป็นสุดยอดผู้บริหารของแก

 

โดยคุณ Tom เคยให้คำแนะนำที่ดีมากๆเกี่ยวกับธุรกิจ ที่ปู่อยากจะเข้าไปซื้อ “การที่ประสบความสำเร็จและขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่ดี จำเป็นต้องทำให้มั่นใจว่าเราซื้อธุรกิจที่ดีด้วย”

 

2. ปู่เล่าให้ฟังต่อว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Berkshire ได้เข้าซื้อกิจการแล้วหลายสิบบริษัทด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าตอนที่แกเข้าซื้อนั้น ก็ก็คิดแหละครับว่า เป็นธุรกิจที่ดี

 

แต่ก็มีหลายบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่น่าผิดหวังมาก ๆ

 

และก็มีหลายแห่งเหมือนกันที่เป็นหายนะของการเข้าลงทุนของแกเลยแหละ (แกยอมรับตรงๆเลยครับ)

 

แต่จะว่าไปก็มีเยอะมากนะที่ให้ผลตอบแทน และมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่คาดหวังไปเยอะมาก ๆ

 

3. แกเปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนมากๆว่า การเข้าซื้อกิจการก็เหมือนกับการแต่งงานแหละครับ

 

“ช่วงแรกเป็นช่วงฮันนีมูน เป็นช่วงที่ชีวิตคู่มีความสุขมาก ๆ แต่หลายครั้งในชีวิตจริงก็ต่างจากที่เราคาดหวังพอควรเหมือนกัน เพราะตอนจบอาจจะจบแบบไม่สวยงาม” แต่หลายคู่ก็มีภาพจบที่สวยงามมากกว่าที่คาดได้เหมือนกัน

 

โดยปกติแล้วมักจะเป็นผู้เข้าซื้อกิจการนั่นแหละที่อาจจะเจอผลลัพธ์แบบไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะมันง่ายมากนะ ที่จะตาลุกวาว ตอนที่กำลังมองหาบริษัทที่น่าสนใจ

 

4. “แต่จะว่าไปแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนก็มีผลงานเป็นที่น่าพอใจ ทุกฝ่ายก็ดูแฮปปี้มีความสุขกับผลของการตัดสินใจของเรา” ก็แหงสิครับปู่ ทำผลตอบแทนดีโคตรๆอย่างสม่ำเสมอ

 

“แต่ก็มีหลายกิจการเหมือนกันนะ ที่ทำให้ผมเองก็ต้องกลับมาสงสัยว่า เอ…. ตกลงแล้วผมเคยขอแต่งงานกับใครไปเนี่ย” ปู่ช่างเปรียบเปรยเสียจริง ๆ ครับ

 

5. แต่สิ่งที่ปู่บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี คือการที่บริษัทที่มีผลการดำเนินงานแย่ ส่วนใหญ่ก็จะมีธุรกิจที่ไม่เติบโตมากมายนัก ทำให้คิดเป็นสัดส่วนที่เล็กลงเรื่อยๆในพอร์ตภาพรวมของแก

 

เพราะอะไร? เพราะธุรกิจที่ดีเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ และก็มักจะหาโอกาสในการลงทุน และได้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจได้เสมอ ๆ ทำให้หุ้นดีๆมีสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ของพอร์ตภาพรวมครับ

 

6.แกยกตัวอย่าง ของการเข้าซื้อกิจการสิ่งทอ (บริษัท Berkshire นี่แหละครับ) แกเล่าว่าแกเข้าซื้อในปี 1965 ครับ ซึ่งผลกำไรออกมาไม่น่าพอใจนัก และเป็นตัวถ่วงของพอร์ตอยู่ระยะนึงเลยครับ

 

แต่หลังจากนั้นปู่เองก็เจอบริษัทดี ๆ และเข้าซื้อกิจการตามมามากมาย ในช่วงปี 1980 ทำให้ในท้ายที่สุดธุรกิจสิ่งทอก็คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่จิ๋วเดียว ของพอร์ต

 

โอ้โห… เห็นภาพเลยครับ

 

7. ถามว่าตอนนี้ธุรกิจที่เป็นดาวเด่น? แกยังยกให้หุ้นที่ทำธุรกิจประกันอยู่นะครับ (เคยพูดถึงประเด็นนี้แล้วเหมือนกันครับ)

 

8. แต่ปู่ก็เล่าให้ฟังว่ามีธุรกิจนึงที่แกเข้าลงทุนในปี 2011 ชื่อ Lubrizol อยู่ที่โอไฮโอ เป็นบริษัทที่ผลิตและทำตลาดน้ำมันทั่วโลก เกิดเหตุไม่คาดฝัน ไฟไหม้ใน เดือน ก.ย. 2019 ทำให้มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจอย่างมาก

 

โชคดีคือ Lubrizol ทำประกันไว้ แต่โชคร้ายคือ หนึ่งในบริษัทที่ให้ประกันชดเชยความเสียหายก็คือ Berkshire ครับ

 

9.อย่างไรก็ตามถ้าไปดูภาพรวมธุรกิจประกันของ Berkshire ต้องบอกว่า เติบโตดีมากครับ โตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1967

 

“เหตุผลที่ปู่ชอบ เพราะธุรกิจประกันเป็นธุรกิจที่รับ ค่าประกันเลย ได้ตังจากลูกค้าล่วงหน้าก่อนเลย” แต่จ่ายเงินค่าชดเชยในภายหลัง (แต่ก็ยอมรับว่า มีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆเช่น แร่ใยหิน หรือ อุบัติเหตุร้ายแรง ก็อาจจะทำให้มีผลกระทบไปอีกหลายสิบปี)

 

10.ข้อดีของ business model ของธุรกิจประกันคือ จะมีเงินที่สามารถเอาไปต่อยอดการลงทุนได้ (เพราะเก็บเงินลูกค้าก่อน แล้วจ่ายเงินทีหลัง) แบบนี้แกจะเรียกว่าเป็นเงิน float ครับ

 

พอย้อนไปดูย้อนหลังจะเห็นความน่าสนใจของตัวเลขมากครับ เช่นในปี 1970 มีเงิน float นี้ 39 ล้านเหรียญ ก่อนจะเพิ่มเป็น 237 ล้านเหรียญในปี 1980

 

1990 เพิ่มเป็น 1,632 ล้านเหรียญ, ปี 2000 เพิ่มเป็น 27,871 ล้านเหรียญ ส่วนปี 2010 ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็น 65,832 ล้านเหรียญ

 

และน่าตกใจที่ในปี 2019 มีมากถึง 1.29 แสนล้านเหรียญ (คูณเป็นเงินไทยไม่ถูกเลยครับ)

 

11. และข้อดีของธุรกิจประกันคือ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีการขอชดเชยเงินจากลูกค้าพร้อม ๆ กันอย่างมีนัยยสำคัญ ทำให้มีเงินไว้สำหรับลงทุนต่อยอดได้อีกมากมาย

 

12. แต่จุดที่ต้องจับตามองคือ ผลตอบแทนในภาพรวมของอุตสาหกรรม อาจจะน้อยลงเพราะปกติส่วนใหญ่จะเอาเงินไปลงทุนในพันธบัตรที่มีความน่าเชื่อถือสูง

 

ทำให้การที่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรต่ำ ก็จะมีผลเช่นกันต่อผลตอบแทนในภาพรวมครับ

 

“ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% แต่ตอนนี้ได้ 2-3% ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว”

 

13. สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บริษัทประกันบางแห่งเริ่มใช้วิธีเข้าไปลงทุนในพันธบัตรที่มีคุณภาพต่ำลง หรือสินทรัพย์ที่อาจจะไม่มีสภาพคล่อง แต่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งก็แน่นอนครับว่าย่อมมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ

 

14. แต่ปู่บอกว่า การที่ Berkshire เอาเงินเหล่านี้ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์ต่าง ๆ และมีเงินสดเป็นจำนวนมากทำให้เป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับบริษัทประกันอื่นๆ และทำให้มีโอกาสเข้ามามากมาย

 

“ที่ผ่านมา 17 ปีล่าสุด มีมากถึง 16 ปีที่ธุรกิจประกันของปู่กำไรงดงาม ยกเว้นปี 2017 ที่ขาดทุน” เหตุผลเพราะมีทีมผู้บริหารที่เก่ง รู้ว่าอะไรคือความเสี่ยงของการออกประกันฉบับใหม่ ๆ ออกมา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ 

 

========

 

ถ้าไม่อยากพลาด อ่านย้อนหลังตอนที่ 1 ได้เลยครับ

คลิกเลย

https://www.facebook.com/309527089143639/posts/2748243205272003/?d=n

 

อ่านย้อนหลังตอนที่ 2:

https://www.facebook.com/309527089143639/posts/2748294515266872/?d=n

 

========

 

เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

 

อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย

 

ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน Line@: http://bit.ly/TAM-EIG_LINE
คลิกเลย

Exit mobile version