tam-eig.com

ปู่บัฟเฟตต์ให้ข้อคิดบทเรียนล้ำค่าผ่านจดหมายถึงผู้ถือหุ้น และประกาศกำไรสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาทในปี 2020

อย่าลืม Subcribe จะได้ไม่พลาด

Facebook | Youtube | Line | Website

#ลงทุนนอกโลก โดยเพจ #ถามอีกกับอิก

รอคอยมาทั้งปีครับ ในที่สุดก็ออกมาแล้วครับ เชิญเสพอ่านเติมความรู้ไปพร้อมกันเลยครับ

ปล.ถ้าชื่นชอบ ฝากกด like กดแชร์ ด้วยนะค้าบบบ

#เริ่มจากผลประกอบการของ Berkshire Hathaway ก่อนครับ

1.Berkshire มีกำไร 4.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020

2. โดยแบ่งเป็นกำไรจากการดำเนินงาน 2.19 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ, 4.9 พันล้านเหรียญจากการขายทำกำไรหุ้น, 2.67 หมื่นล้านเหรียญจากกำไรที่ยังไม่ได้ขายออกมา, และขาดทุนทางบัญชีจากมูลค่าของบริษัทลูกที่ลดลงไป

3. “สิ่งที่พวกเราเน้นที่ Berkshire คือ การเพิ่มกำไรจากการดำเนินงานและ เข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ และเป็นกิจการที่ดี” ปู่บัฟเฟตต์บอกครับ

4. แต่ปู่เองก็ยอมรับว่า ปีที่ผ่านมาไม่สามารถทำตามเป้าหมายเหล่านั้นได้ ทั้งในมุมของกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลง 9% ในขณะที่ก็ไม่สามารถจบดีลการเข้าซื้อกิจการยักษ์ใหญ่ได้เลย

5. และยอมรับด้วยว่า กำไรหรือขาดทุนจากหุ้นที่ปู่ยังไม่ได้ขายออกมา มันจะขึ้น ๆ ลง ๆ ในแต่ละปี และก็จะผันผวนตามตลาดหุ้น แต่ในท้ายที่สุดปู่บัฟเฟตต์และปู่มังเกอร์เองก็เชื่อว่า จะได้กำไรจากการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

6. ถ้าดูทั้งพอร์ตของ Berkshire จะเห็นว่าตอนนี้ถือหุ้นอยู่มูลค่าประมาณ 2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และมองว่าเป็นการสะสมธุรกิจเข้าพอร์ต แต่ไม่ได้ควบคุมการบริหาจัดการของบริษัทเหล่านั้น

7. เพียงแต่จะเติบโตไปพร้อมกับความรุ่งเรืองในระยะยาวของบริษัทที่ Berkshire เข้าไปลงทุน

8. หลายบริษัทในเครือ Berkshire ตอนนี้ได้เอาเงินทุนที่ได้จากการดำเนินงาน ไปต่อยอดขยายธุรกิจ, ซื้อกิจการ, จ่ายหนี้สิน, หรือซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกำไรในอนาคตได้

9. “ผมเองเคยพูดประเด็นนี้เมื่อปีที่แล้ว ว่าตัว กำไรสะสมนี่แหละที่ช่วยทำให้ธุรกิจของคนอเมริกันรุ่งเรืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ปู่ขยายความเพิ่มเติมครับ

10.”แน่นอนว่า บางบริษัทอาจจะทำให้นักลงทุนผิดหวังบ้าง (เพราะกำไรสะสมอาจจะไม่สามารถต่อยอดธุรกิจได้มาก)

แต่บางบริษัทก็ทำได้ดี เพราะฉะนั้นเมื่อมองภาพรวมก็จะยังดีอยู่ครับ” ซึ่งตลอด 56 ปีที่ผ่านมา ทาง Berkshire ก็ทำได้ตามความคาดหวังของผู้ถือหุ้นมาโดยตลอดครับ

#มีหุ้นบางตัวที่ปู่เองก็คิดผิด และเจ็บตัวหนัก

1. “ส่วนที่ต้องลดมูลค่าทางบัญชีลงมา 1.1 หมื่นล้านเหรียญ” เป็นสิ่งที่ปู่บอกว่าทำผิดพลาดในปี 2016 เพราะเป็นปีที่ปู่เองเข้าไปซื้อ Precision Castparts (PCC) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน

2. ปู่บอกว่า ปู่จ่ายเงินซื้อกิจการนี้แพงเกินไป แต่ยอมรับว่าปู่คิดผิดเองครับ และมองว่า ตัวเค้ามองศักยภาพของการทำกำไรดีเกินไป

และปีที่แล้วการคำนวณที่ผิดพลาดก็ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมการบิน (เจอผลกระทบจากโควิด) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าของ PCC ทำให้ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ครับ

3. “แต่จุดที่น่าสนใจคือ การเข้าซื้อกิจการ PCC ทำให้ได้สุดยอด CEO มาอยู่ในเครือครับ” ปู่บอกว่าคุณ Mark Donegan เป็นผู้บริหารที่สุดยอดจริง ๆ มี passion ในการทำธุรกิจ และทุ่มเทพลังงานแรงกาย และแรงใจลงไปในธุรกิจอย่างเต็มที่

4. “ผมเชื่อว่า สำหรับการเข้าไปลงทุน PCC จะช่วยทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี จากสินทรัพย์ในระยะยาว”

“เพียงแต่ว่า ในระยะสั้นตัวผมเองก็คิดผิด ในการวิเคราะห์กำไรในอนาคต และคิดผิดในการคำนวณราคาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อกิจการครับ”

#คุณปู่พาทัวร์ทำให้เข้าใจโมเดลธุรกิจของ Berkshire ที่แตกต่างจากบิรษัทอื่นๆ

1. “Berkshire ถูกมองว่าเป็นบริษัทกลุ่มขนาดใหญ่ Conglomerate” ซึ่งมักจะเป็นภาพลบเพราะเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัทที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย และถือหุ้นแบบจับฉ่าย ทั้งนี้ปู่ก็มองว่าก็ถูกในบางส่วนนะ

2. เพียงแต่ถ้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่โดยทั่วไป มักจะจำกัดแนวทางในการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งมีปัญหาใหญ่ตามมาอยู่สองข้อครับ

3. ปัญหาแรก คือ บริษัทที่เจ๋งจริง ๆ ส่วนใหญ่เลยมักจะไม่ค่อยอยากให้เข้ามาซื้อกิจการหรอก

นั่นหมายความว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นก็จะเข้าซื้อได้แค่บริษัท so-so ธรรมดา ๆ ที่ไม่มีจุดแข็งที่สำคัญ และไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน เปรียบเทียบคือ เป้าหมายในการเข้าซื้อกิจการก็จะไม่ใช่สระน้ำที่ดีในการตกปลา (เพราะมีแต่บริษัทธรรมดาๆ ไม่มีบริษัทเจ๋งๆเลย แหม… ช่างเปรียบเปรยนะครับ)

4. มากไปกว่านั้นครับ ยังมีอีกปัญหาที่หนักกว่า คือ เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นเริ่มเข้าไปเจรจาขอซื้อกิจการบริษัทขนาดกลาง ๆ สิ่งที่ตามมาคือ จะต้องยอมจ่ายในราคาแพง ราคาพรีเมียม

5. บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้รู้ซึ้งถึงปัญหาที่จ่ายในราคาที่แพงมากเกินไป และอาจจะต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง

คุณปู่เปรียบเปรย กับการที่สมมติว่า “ผมจะจ่ายคุณ 10,000 เหรียญเพื่อซื้อสุนัขของคุณ” “แต่จะจ่ายด้วยการ เอาแมว 2 ตัว ที่มีมูลค่าตัวละ 5,000 เหรียญ ให้กับคุณ”

6. และบ่อยครั้งมาก ๆ ที่การจ่ายเงินที่แพงเกินไปของบริษัทยักษ์ใหญ่ ดันไปเกี่ยวข้องกับเทคนิคในการโปรโมท และการจินตนาการ ซึ่งหลายครั้งก็เป็นต้นเหตุของการทุจริต

7. แต่เมื่อกลยุทธ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้หุ้นของตัวเองไปต่อได้ เช่นเพิ่มมูลค่าธุรกิจได้ 3 เท่าตัว เพื่อที่จะยอมจ่ายเงินซื้อกิจการในราคา 2 เท่าตัวครับ

8. ภาพลวงตาเหล่านี้ สามารถสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดได้เป็นเวลาที่ยาวนานมาก ๆ เช่น บริษัทใน Wall Street ก็จะชอบมากเพราะได้ค่าธรรมเนียมจากดีลซื้อกิจการได้

ส่วนถ้าเป็นในมุมของสื่อเองก็จะได้เรื่องราวที่มีสีสัน สามารถไปทำข่าวต่อได้ และหลังจากนั้น พอราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปก้จะกลายเป็นเครื่องพิสูจน์แหละว่า ภาพลวงตาเหล่านั้นสามารถพลิก กลายเป็นเรื่องจริงได้

9. แต่ในท้ายที่สุดเมื่อ ปาร์ตี้ งานเลี้ยงได้สิ้นสุดลง สิ่งที่จะตามมาคือหลาย ๆ บริษัทกลับถูกพบว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีสิ่งที่ดีที่โม้เอาไว้ก่อนหน้านี้เลย

10. ในอดีตที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นบริษัทมากมายที่ชื่อดังเสียด้วย ที่ช่วงแรกเจ๋งมากๆและถูกกระพือข่าวโดยนักข่าว, นักวิเคราะห์และวาณิชธนกิจ แต่ในท้ายที่สุดกลับกลายเป็นเพียงแค่บริษัทขยะเท่านั้น และสุดท้ายก็ทำให้ชื่อเสียงย่อยยับไป

#สไตล์ของการเข้าซื้อกิจการของ Berkshire

1. “ทั้งชาร์ลีและผม ต้องการให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของเรานั้นเป็นเจ้าของทั้งหมด หรือเป็นเจ้าของบางส่วนของกลุ่มธุรกิจที่ดี และมีผู้บริหารที่ดี” ปู่บัฟเฟตต์ย้ำครับ

2. โดยมี keyword คือ โดยที่ไม่จำเป็นที่ Berkshire จะต้องเข้าไปควบคุมบริหารจัดการธุรกิจเหล่านั้นหรือไม่ เพราะมันไม่สำคัญสำหรับเราเลย
3. “ชาร์ลี ได้โน้มน้าวให้ผมเป็นเจ้าของธุรกิจที่เจ๋ง ๆ” “ที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าของที่มีอำนาจควบคุมแบบเบ็ดเสร็จก็ตาม”

เพราะวิธีนี้คุณปู่ชาร์ลีมองว่า ให้กำไรมากกว่าในระยะยาว และยังสนุกมากกว่า แถมยังทำงานน้อยกว่าการที่จะไปดิ้นรนให้เป็นเจ้าของแบบ 100%

4. นั่นหมายความว่า Berkshire จะเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของทั้งบริษัทที่บางส่วนก็ควบคุมแบบเบ็ดเสร็จกับบางส่วนก็เข้าไปถือหุ้นแต่ไม่ได้มีอำนาจในการควบคุมบริษัท

5. โดยหลักๆแล้วทั้งปู่ชาร์ลีและปู่บัฟเฟตต์จะแบ่งเงินกระจายไปลงทุในบริษัทอะไรก็ตาม ที่พวกเราคิดว่าสมเหตุสมผลมากที่สุด โดยดูจากจุดแข็งและความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน

และอยู่บนความสามารถของทีมผู้บริหารรวมถึงบุคลิกลักษณะ และราคาของหุ้นนั้น ๆ ด้วย

6. ถ้ากลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการใด ๆ ถ้าไม่ได้ต้องให้เราออกแรงมากเกินไป ก็ยิ่งดีใหญ่เลยครับ

นอกจากนี้ในการทำธุรกิจจริง มันไม่ได้มีคะแนนท่ายากให้กับพวกเรานะ แม้ว่าคุณ Ronald Reagan อดีตประธานธิบดีสหรัฐเคยเตือนเอาไว้ว่า “การทำงานหนักไม่เคยฆ่าใคร”

7. แต่ปู่บัฟเฟตต์เองก็อยากบอกว่า บางครั้งถ้าการทำธุรกิจมันยากไป เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอะไรมากไปซะหน่อยนิ

#มุมมองต่อพันธบัตร

1. “พันธบัตรอาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้” “ลองคิดดูสิว่า ตอนนี้พันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีให้ผลตอบแทนเพียง 0.93%” “จากเดิมที่เคยได้รับ 15.8% ในปี 1981 เท่ากับว่าลดลงมามากกว่า 94%”

2. นี่ยังไม่นับด้วยว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง เยอรมนี และญี่ปุ่นที่พันธบัตรให้ผลตอบแทนติดลบ (ตอนนี้คิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ)

3. ตอนนี้บรรดากองทุนบำเหน็จบำนาญ, บริษัทประกัน หรือแม้แต่คนที่กำลังจะเกษียณ กำลังเผชิญกับอนาคตที่ง่อนแง่น

4. และนี่ยังไม่นับด้วยนะว่า บริษัทประกันบางราย หรือแม้แต่นักลงทุนพันธบัตรบางรายเองก็ พยายามจะเพิ่มผลตอบแทนด้วยการโยกเงินจากพันธบัตรไปลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงมากกว่า

5. แต่นั่นก็ยังไม่สามารถชดเชยกับ อัตราดอกเบี้ยที่เคยได้รับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แถมยังเสี่ยงมากกว่าอีก

#แล้วทาง Berkshire ทำอย่างไร?

1. Berkshire ได้ประโยชน์อย่างมากจากเงิน float (เบี้ยประกันรับล่วงหน้า แต่ยังไม่ได้ถูกเคลม) ที่มีมูลค่ามากกว่า 1.38 แสนล้านเหรียญ

2. “แม้ว่า เงินเหล่านี้จะไม่ใช่ของเราซะทีเดียว แต่มันก็เป็นเงินที่เราสามารถเอาเงินไปลงทุน” ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปลงทุนในพันธบัตร, หุ้น หรือแม้แต่พันธบัตรสหรัฐ

3. เงิน Float อาจจะมองว่าคล้ายกับเงินฝาก เพราะมันคือกระแสเงินสดเข้าและออกจากผู้เอาประกัน

#วิธีคิดการซื้อหุ้นคืนของปู่บัฟเฟตต์

1. ปีที่แล้ว Berkshire ซื้อหุ้นคืน 80,998 หุ้นมูลค่า 2.47 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สัดส่วนของการเป็นเจ้าของเพิ่มมากถึง 5.2% โดยที่นักลงทุนรายย่อยไม่ต้องจ่ายตังเพิ่มเลย

2. “ชาร์ลีและผม มองว่าการซื้อหุ้นคืนจะช่วยเพิ่ม มูลค่าต่อหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้น” “และ Berkshire เองก็ยังมีเงินมากพอสำหรับโอกาสใหม่ๆหรือปัญหาที่กำลังจะต้องเผชิญในอนาคต”

3. แต่แน่นอนว่าการซื้อหุ้นนั้น ไม่ได้แปลว่าจะซื้อหุ้นคืนในราคาไหนก็ได้นะครับ เพราะ CEO ของบริษัทจำนวนมากเองก็ซื้อหุ้นคืนตอนที่ราคาพุ่งสูงขึ้นไปแล้ว

4. คุณปู่ยก Apple เป็นกรณีศึกษาครับ เช่น Berkshire เข้าซื้อหุ้น Apple ในช่วงปลายปี 2016 และอีกครั้งตอนต้นปี 2018 โดยเป็นเจ้าของมากกว่า 1 พันล้านหุ้น

ตอนที่เก็บหุ้นครบแล้วนั้นทำให้ Berkshire เป็นเจ้าของ Apple สัดส่วน 5.2% ครับ

5. ต้นทุนในการลงทุนใน Apple คือ 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปู่เองก็เพลิดเพลินไปกับเงินปันผล ที่ได้รับปีละกว่า 775 ล้านเหรียญ และเก็บเงินเข้ากระเป๋า 1.1 หมื่นล้านเหรียญ เพราะมีบางส่วนเองก็ขายหุ้นออกมาจากพอร์ตหน่อยครับ

6. ไฮไลท์อยู่ตรงนี้ครับ แม้ว่า Berkshire จะขายหุ้น Apple ออกมาบ้างบางส่วน แต่ Berkshire เองก็ยังเป็นเจ้าของ Apple 5.4% ถือหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไปครับ โดยที่ไม่ต้องควักเงินจ่าย

7. เหตุผลเป็นเพราะ Apple ได้ซื้อหุ้นคืน ทำให้หุ้นมีจำนวนลดลง (Apple ยังประกาศซื้อหุ้นคืนเรื่อยๆ)

8. ไม่ใช่แค่นั้นครับ เพราะการที่ Berkshire ประกาศซื้อหุ้นคืนในช่วง 2.5 ปีนี้ เท่ากับว่า ผู้ถือหุ้นเองได้ถือหุ้นมากกว่า 10% ของ Apple และกำไรในอนาคตมากกว่าตอนปี 2018 (ถ้าซื้อแล้วยังไม่ขาย)
 
9. “แม้ว่าเมื่อคิดคำนวณในเชิงตัวเลขจะเห็นว่า การซื้อหุ้นคืนอาจจะได้ประโยชน์แบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ” “แต่จะมีพลังอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไปครับ เพราะกระบวนการแบบนี้เท่ากับว่าจะช่วยทำให้นักลงทุนเป็นเจ้าของ ธุรกิจที่เจ๋งๆได้มากขึ้น” (โดยที่ไม่ต้องควักตังจ่าย)

#กรณีศึกษาที่ปุ่บัฟเฟตต์ยกตัวอย่าง

1. นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกามา จะเห็นว่ามีคนจำนวนมากที่มีไอเดีย มีแรงบันดาลใจ และอาจจะมีเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากนัก แต่กลับสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามด้วยการสร้างสิ่งใหม่ ๆ

หรือพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยบางอย่างที่อาจจะเป็นสิ่งเก่า ๆ

2. “ชาร์ลี และผม เดินทางไปทั่วประเทศ ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่ปี 1972 ครับ”

3. กรณีแรก คือเข้าไปซื้อ See’s Candy โดยก่อนหน้านั้นคุณ Mary See ได้คิดค้นสูตรขนม ลูกกวาดที่เป็นสูตรแบบพิเศษ และปรับรูปแบบการทำธุรกิจด้วยการ พัฒนาให้คนขายเป็นคนอารมณ์ดี friendly มาก ๆ

สาขาแรกของร้าน See’s Candy อยู่ที่ ลอส แองเจลลิส แต่ในปัจจุบันมีมากกว่าหลายร้อยสาขาทั่วฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐครับ

4.อีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจอยู่ที่ วอชิงตัน ดี.ซี ครับ โดยในปี 1936 คุณ Leo Goodwin กับภรรยาคุณ Lillian ได้เห็นโอกาสในธุรกิจประกันภัยรถยนต์ ที่ซื้อจาก agent สามารถเอามาขายโดยตรงในราคาที่ถูกกว่า

ตอนนั้นสามีภรรยาคู่นี้มีเงินทุนเพียง 1 แสนเหรียญซึ่งน้อยกว่ายักษ์ใหญ่ในวงการกว่า 1 พันเท่า แต่ในท้ายที่สุดก็ก่อตั้งบริษัท GEICO ขึ้นมา

“เป็นโชคของผมมากๆ ที่บังเอิญได้รู้จักบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตแบบนี้ ตั้งแต่ 70 ปีที่แล้ว” “และได้กลายเป็น บริษัทที่ผมชอบและรักมาก ๆ” และในท้ายที่สุด Berkshire เองก็ได้เข้ามาเป็นเจ้าของแบบ 100% แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง

และทำให้บริษัทเติบโตอย่างมากครับ จากรายได้ 2.3 แสนเหรียญในปี 1937 เพิ่มขึ้นมาเป็น 3.5 หมื่นล้านเหรียญในปีที่ผ่านมาครับ

#กรณีศึกษาเพิ่มเติมในเมือง Omaha

1. คุณปู่เล่ากรณีศึกษาเยอะมากจริงๆครับ ในปี 1940 คุณ Jack Ringwalt ตัดสินใจตั้งบริษัทประกันวินาศภัย ด้วยเงินทุน 1.25 แสนเหรียญ โดยต้องต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ในวงการ

2. อย่าลืมว่ายักษ์ใหญ่ในวงการประกัน คือบริษัทที่มีสายป่านยาวมาก, มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ และมีตัวแทนขายท้องถิ่นมากมาย แต่เค้าก็ไม่ย่อท้อครับ ลุยเต็มที่ ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ

3. แต่คุณ Jack เป็นคนที่ไม่ชอบผู้คุมกฏระเบียบเลย ทำให้อยากจะขายธุรกิจทิ้งไป แล้วก็ตกลงดีลกันได้ภายในเวลา 15 นาทีโดยที่ปู่เองก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด

4. ปัจจุบัน National Indemnity เป็นเพียงบริษัทเดียวในโลกเท่านั้นที่รับประกันความเสี่ยงใหญ่ๆ (บางประเภท) และอยู่ที่ Omaha ใกล้ๆกับสำนักงานของปู่บัฟเฟตต์นี่แหละครับ

#Berkshire เดินเครื่องซื้อกิจการดี ๆ ใน Omaha มากขึ้น

1. Berkshire เข้าซื้อกิจการ 4 แห่งใน Omaha ครับ โดยมีตัวเด่นๆเช่น Nebraska Furniture Mart ซึ่งมีคุณ Rose Blumkin เป็นผู้ก่อตั้งครับ

2. คุณ Rose เป็นผู้อพยพชาวรัสเซีย เดินทางไปถึง ซีแอตเทิลในปี 1915 ก่อนที่จะย้ายไป Omaha ในปี 1936 โดยที่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย และเริ่มต้นด้วยเงินทุน 2,500 เหรียญ

3. ช่วงนั้นไม่มีใครสนใจเธอเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่ง หรือแม้แต่ suppliers และดันมีช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ธุรกิจหยุดชะงักไป

4. โดยในปี 1946 บริษัทมีมูลค่าเพียง 72,264 เหรียญ และมีเงินสดเพียงแค่ 50 เหรียญ (มีแค่นี้จริงๆ)

5. แต่สวรรค์มาโปรดแล้วครับ เมื่อลูกชายสุดที่รักคุณ Louie Blumkin เข้ามาช่วยแม่บริหารกิจการ หลังจากที่เป็นทหารนานกว่า 4 ปี ซึ่งพอผนึกกำลังจะเห็นว่าไม่มีอะไรหยุดสองแม่ลูกคู่นี้ได้แล้วครับ

6. ทั้งคู่ทำงานหามรุ่ง หามคำ่มากๆ ไม่มีวันหยุดเลยแม้แต่วันเดียว โดยในปี 1983 บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 60 ล้านเหรียญ และในปีนั้นคุณปู่มองเห็นศักยภาพของบริษัทนี้

7. ในวันนั้นเป็นวันเกิดของปู่บัฟเฟตต์พอดี ประจวบเหมาะกับจังหวะเหมาะสมเลยเข้าซื้อกิจการในสัดส่วน 80% โดยที่ปู่เองไม่ได้เข้าตรวจสอบเลยด้วยซ้ำ เพราะมั่นใจในธุรกิจมาก ๆ ครับ

8. และแม้ในทุกวันนี้ครอบครัวของ Blumkin เองก็ยังบริหารธุรกิจอยู่เลยครับ แม้ว่าจะเป็นทายาทรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 แล้วก็ตาม

9. คุณ Rose Blumkin ทำงานหนักจนถึงอายุ 103 ปี สุดยอดจริงๆครับ

10. โดยปัจจุบัน NFM เป็นเจ้าของร้านตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่งในสหรัฐ และแต่ละสาขาก็ทำลายสถิติมียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2020 แม้ว่าจะมีการปิดสาขาชั่วคราวไปมากกว่า 6 สัปดาห์เพราะว่ามีวิกฤตโควิดก็ตาม

#ยังไม่หมดครับยังมีกรณีศึกษาในเมือง Tennessee

1. Berkshire เป็นเจ้าของ 2 บริษัทที่เจ๋งมาก ๆ คือ Clayton Homes (ถือหุ้น 100%) และ Pilot Travel Centers (ตอนนี้เป็นเจ้าของ 38% แต่ตั้งเป้าว่าจะซื้อเพิ่มให้ได้ 80% ภายในปี 2023 ครับ)

2. ทั้งสองบริษัทก่อตั้งโดยนักศึกษาที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย Tennessee โดยที่ไม่มีเงินทุน และไม่ได้มีครอบครัวที่ร่ำรวย

3. แต่ปัจจุบันทั้งสองบริษัทที่กำไรก่อนหักภาษีสูงถึง 1 พันล้านเหรียญและมีการจ้างงานกว่า 47,000 คน

4. และที่น่าสนใจคือ ทั้งสองธุรกิจสืบทอดโดยลูกชายที่มี passion เหือนกัน ยึดถือคุณค่าธุรกิจเหมือนกัน และฉลาดเหมือนคุณพ่อ ทำให้กิจการขยายใหญ่โต และขายหุ้นใหญ่ให้กับ Berkshire

สิ่งที่คุณปู่บัฟเฟตต์จะชี้ให้เห็นคือ ตามประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่มียาวนานกว่า 232 ปี ได้ปลดปล่อยศักยภาพของคนได้มากที่สุดในโลก

แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดๆเข้ามากระทบรุนแรงก็ตาม แต่สหรัฐเองก็ยังพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างเหลือเชื่อ จนปู่พูดบ่อยๆว่า “Never bet against America” “อย่าเดิมพันตรงข้ามกับสหรัฐอเมริกาเป็นอันขาด”

#การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

1. จริง ๆ เท่าที่อ่านดูปู่เหมือนต้องการจะสื่อถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างของบริษัท แต่ #ถามอีกกับอิก ขอข้ามไปครับ ขอเล่าเฉพาะสิงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนครับ

2. ปู่มองว่าการลงทุนในดัชนีเช่น S&P500 จะทำให้นักลงทุนเพลิดเพลินในระยะยาวเพราะจะได้รับเงินปันผลและ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นไป เพราะว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องมานั่งตัดสินใจเปลี่ยนตัวในการลงทุน

3. เช่นเดียวกับสินทรัพย์ เช่น ฟาร์ม, อสังหาริมทรัพย์ และการเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่จะได้รับรางวัลจากการเป็นเจ้าของเหล่านี้

ปู่อธิบายว่าสิ่งที่เหมือนกัน คือ ต้องใช้เวลา, ต้องใช้อารมณ์ที่เยือกเย็น และต้องกระจายความเสี่ยงให้พอเหมาะ , มีต้นทุนของการธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ

4. และต้องไม่ลืมว่า ค่าใช้จ่ายของนักลงทุนเป็นรายได้ของคนใน Wall Street

#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย

ส่งข่าวสารถึงมือไม่พลาดทุกการวิเคราะห์ Line@ คลิกเลย

และกด subscribe และ กดกระดิ่งนะครับ คลิกเลย

Exit mobile version