*สัมภาษณ์วันที่ 16 สิงหาคม 2564
ลด QE น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ทำไมนักลงทุนถึงกังวล ?
นักลงทุนกังวลว่า หากมีการลด QE จะทำให้ไม่มีเงินอัดฉีดในตลาดหุ้น เนื่องจากธุรกิจวางโครงสร้างใช้หุ้นมาค้ำประกันในการกู้ (Equity Loan) ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีเงินสด 1 พันล้านบาท กู้เพิ่ม 2 พันล้านบาท แล้วเอาเงินที่ได้ไปลงทุนในโปรเจคต่าง ๆ จากนั้นบริษัท B เข้าซื้อบริษัท A ด้วยวิธี Leveraged Buyouts (LBO) โดยการใช้สินทรัพย์ของบริษัท A ที่ต้องการซื้อมาค้ำในการกู้ ต่อมา Hedge Fund เข้าซื้อหุ้นบริษัท B บางส่วน แล้วเอาหุ้นไปค้ำทำให้กู้ได้ 70% ของมูลค่าตลาด แล้วเอา 70% ที่ได้มาไปค้ำต่อได้อีก 70% ไปเรื่อย ๆ ทำให้รวมแล้วประมาณสามารถ leverage ได้ 1.5-2.0 เท่า
ดังนั้น ถ้า QE ลดลง จะทำให้มีเงินอัดฉีดเข้าระบบน้อยลง ซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้น และถ้าหุ้นลงหนักจนเกิด Margin Call จะทำให้กระทบไปทั้งระบบเพราะคนมีเงินมาเติมไม่พอ เป็นเหตุผลให้นักลงทุนกังวลหากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการปรับลด QE
หลายประเทศมีการกู้เงินมหาศาล อะไรจะเป็นจุดทำให้ฟองสบู่แตก
เงินเฟ้อที่ขึ้นแบบคุมไม่อยู่ เพราะจะดันให้ดอกเบี้ยขึ้น โดยประเทศใหญ่ ๆ ที่สามารถพิมพ์เงินเองได้ไม่น่ากังวลในเรื่องสภาพคล่องมากนักในวันที่ดอกเบี้ยลด แต่ปัญหาอยู่ที่ประเทศเล็ก ๆ ที่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย หากประเทศมี Credit Rating ลดลง ทำให้ไทยมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล
QE ลด ตลาดหุ้นไทยจะกระทบหรือไม่
ปัญหาตลาดหุ้นไทยที่ใหญ่กว่าวิกฤตเศรษฐกิจคือเรื่อง Disruption ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีบริษัทที่จะ Transform ไปยุค 4.0 ได้ ทำให้ความน่าสนใจลดลง อีกทั้งตอนนี้นักลงทุนมองว่าตลาดไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบบ Evolution (วิวัฒนาการ) เหมือนเมื่อก่อนแต่เป็นแบบ Revolution (การเปลี่ยนในระดับโครงสร้าง) ทำให้ต่างชาติเริ่มหันไปสนใจตลาดเวียดนา สิงค์โปร์ และญี่ปุ่น
