ทำไม Ethereum ถึงยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก?

ทำไม Ethereum ถึงยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก 

เปรียบเทียบ บิทคอยน์ vs.  อีเธอเรียมก็เหมือนเปรียบเทียบ แอปเปิ้ล vs. ส้ม

หลายคนมีคำถามว่าหากเปรียบเทียบบิทคอยน์กับอีเธอเรียม อะไรดีกว่ากัน แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 สิ่งนั้นต่างกัน เมื่อมองในมุมจุดประสงค์ของบิทคอยน์ บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเงินที่ดี โดยมีคุณสมบัติ คือ หาได้ยากเนื่องจากมี Supply จำกัด ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ และไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกแซงหรือเปลี่ยนนโยบายได้ 

ส่วนอีเธอเรียมถูกสร้างมาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้คนมาสร้างแอปพลิเคชันใช้งานต่าง ๆ 

มองในมุมของนิยาม บิทคอยน์ ถือว่าเป็น Store of Value หรือเครื่องมือสะสมมูลค่า ในขณะที่ อีเธอเรียมเป็น Internet of Value หรือให้คนมาแลกเปลี่ยนมูลค่า

หรือหากจะเปรียบเทียบแบบง่าย ๆ บิทคอยน์นั้นเปรียบเสมือนทอง แต่เป็นทองในรูปแบบดิจิตอล ส่วนอีเธอเรียมก็เปรียบเสมือนกับ App Store ที่เราเอาไว้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ มาใช้งานนั่นเอง

Ethereum จากแพลตฟอร์มขายฝัน สู่มูลค่าแสนล้านบาท

ย้อนไปในปี 2560 อีเธอเรียมเป็นจุดเริ่มต้นของการระดมทุน ICO แต่ 90% ของโปรเจ็คไม่สำเร็จ ล้มหายตายจากไปหลายคนสูญเงินกับการระดมทุน ICO ทำให้คนมองว่าเป็น “Scam” ขายฝัน ต่อมาในปี 2561 คนกลุ่มหนึ่งเริ่มนำมาใช้งานจริงมากขึ้น เช่น นำมาแลกเปลี่ยนเหรียญ หรือปล่อยกู้ ซึ่งในขณะนั้น มีมูลค่าแค่หลักร้อยล้านบาทเท่านั้น  

จนกระทั่งในปี 2564 อีเธอเรียมถูกนำมาใช้งานจริงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น DeFi หรือ NFT จนทำให้เกิด Ecosystem และเป็น Network Effect คนเข้ามาใช้งานเป็นจำนวนมาก ทำให้มีรายได้จากค่าธรรมเนียมแตะแสนล้านบาท

เมื่อ อีเธอเรียม กำลังจะเป็น “Productive Store of Value” หรือ สินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้ 

อีเธอเรียม กำลังมีการอัพเดต เปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ไขปัญหาค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้นมาก โดยจะเปลี่ยนจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake อีกทั้งจะมีการเผา ETH เพื่อลด Supply ในระบบ ในขณะที่ Demand จะเพิ่มขึ้นจากการใช้งานที่มากขึ้น 

นอกจากนี้ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ ETH จะสามารถใช้เป็นค่าแก๊สในการทำธุรกรรม และ Ethereum 2.0 จะสามารถนำไป Stake เพื่อรับส่วนแบ่งรายได้ที่เกิดขึ้นใน Network ได้ ซึ่งทำให้การลงทุนในอีเธอเรียมคล้ายกับการได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลจากการถือหุ้นนั่นเอง