tam-eig.com

ทำไมหุ้น SC ถึงทุ่มทุน 25,000 ล้านบาทรุกตลาดแนวราบแบบจัดหนัก?

อย่าลืม Subcribe จะได้ไม่พลาด

Facebook | Youtube | Line | Website

ก่อนหน้านี้ หุ้นอสังหาฯเจอมรสุมทั้งมาตรการ LTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอยากสกัดแรงเก็งกำไร หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และยังไม่นับวิกฤตโควิด-19 ที่ถาโถมเข้ามา ทำให้กำลังซื้อของคนไทยเองก็ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง

แต่คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ แม่ทัพใหญ่ของ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) มองเป็นโอกาสครั้งใหญ่ “รุกแนวราบแบบจัดหนัก” “ทุ่มทุน 25,000 ล้านบาท สู่แบรนด์บ้านเดี่ยว อันดับ 1 ในทุกระดับราคา” 

คำถามคือ ทำไม SC ถึงเลือกที่จะรุกตลาดแนวราบ แบบจัดหนักจัดเต็ม

วันนี้ #ถามอีกกับอิก ชวนมาวิเคราะห์เป็นกรณีศึกษากันครับ

ย้อนไปดูงบการเงินของ SC ในปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าเค้าทำรายได้จากการดำเนินงานได้สูงเกือบ 2 หมื่นล้านบาท และมียอดขาย Pre-sale เกือบ 1.7 หมื่นล้านบาท

จุดที่น่าสนใจคือ นี่เป็นจุดที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้ง ๆ ที่อย่าลืมว่า ปีที่แล้วเป็นปีที่เจอมรสุมหนักจากวิกฤตโควิด-19

จะเห็นว่าสัดส่วนยอดขายบ้านแนวราบ เป็นพระเอกที่ทำรายได้มากที่สุดของ SC

ข้อสังเกตคือในช่วง 3 ปีล่าสุด สัดส่วนยอดขายบ้านแนวราบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 มีสัดส่วนมากถึง 81.83% เลยทีเดียว

ยกตัวอย่างโครงการ ที่ถ้าพูดถึงแล้วคงร้อง อ๋อ แน่นอน เช่น โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด, แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด, กรานาดา และ โครงการเวนิว  เป็นต้นครับ

แม้ว่าภาพรวมอสังหาฯอาจจะชะลอตัวลงมาก็จริงครับ แต่ข้อมูลจากธนาคารเกียรตินาคินภัทร คาดการณ์ว่าโครงการแนวราบยังมีความต้องการสูงและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยยังมีโอกาสเติบโตได้ทั้งในปี 2564-2565

จุดที่น่าสนใจคือ คนที่ซื้อบ้านเดี่ยว ไม่ใช่คนเก็งกำไรครับ แต่เป็นคนที่ซื้อเพราะต้องการเข้าไปอยู่อาศัยจริง ๆ เป็น real demand ทำให้เป็นเสน่ห์ของตลาดนี้ เพราะความเสี่ยงในการทำธุรกิจก็จะน้อยลง

และหนึ่งในปัจจัยเร่งที่ทำให้คนไทยหันมาสนใจซื้อโครงการแนวราบมากขึ้น คือ โควิด-19 เพราะต้องการพื้นที่ของบ้าน ต้องการพื้นที่ในการทำงาน ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นเทรนด์ใหญ่ไปอีกนานเลยครับ

และนี่คงเป็นเหตุผลแรก ว่าทำไม SC ถึงรุกตลาดนี้ครับ

กว่าคอนโดมิเนียมจะสร้างเสร็จและโอนให้กับลูกค้าต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี เทียบกับโครงการแนวราบที่ปกติใช้เวลา 2-3 เดือนเท่านั้น เพราะแนวราบสามารถแบ่งการพัฒนาออกไปทีละเฟสตามแนวโน้มการขาย เลยทำให้ค่อย ๆ โอนไปตามเฟสเช่นกัน

นั่นหมายความว่าข้อดีข้อที่ 2 ของโครงการแนวราบคือ การรับรู้รายได้ที่เร็วขึ้น, กระแสเงินสดก็หมุนได้ไวขึ้น

ทำให้แทบจะไม่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนเลยครับ เหมาะมากสำหรับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในยุคผันผวน และเศรษฐกิจชะลอตัวแบบตอนนี้ครับ

เหตุผลที่ 3 คือ  การที่ SC  มีส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 1  

ความสำเร็จต่อเนื่อง ล่าสุดจากผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ ในภาพรวมทุกระดับราคา SC มีส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 1  ที่ 15% ครับ

(จากข้อมูลตลาดบ้านเดี่ยวในกรุงเทพ–ปริมณฑลของ AREA หรือบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด)   

ทั้งนี้เนื่องจากบ้าน SC ขายดีและเติบโตทุกราคา ใน 3 กลุ่มหลัก คือ

– บ้านราคามากกว่า  20 ล้านบาท  ซึ่งเป็นพอร์ตหลักและแข็งแกร่ง เติบโตประมาณ 4 เท่า หรือเติบโต  268%  YoY

– บ้าน 5-20 ลบ. มีการเติบโตประมาณ 2 เท่า หรือเติบโต  113%  YoY

– บ้านน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต  10%  YoY     

นั่นเท่ากับว่าการที่ SC รุกตลาดแนวราบเป็นการเล่นอยู่ในเกมที่ตัวเองถนัดอยู่แล้ว ทำให้เป็นข้อได้เปรียบ

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ระยะหลัง SC เริ่มขยายไปลุยตลาดแมส  ไม่ได้เน้นแต่ตลาดบ้านหรูอย่างเดียวเหมือนในอดีต ข้อดีคือมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อีกจำนวนมาก

นั่นหมายความว่า การที่ SC ขยาย portfolio มาลุยตลาดบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก เพราะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ทำให้มีโอกาสสร้างยอดขายเพิ่มเติมให้กับบริษัทมากขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญครับ

ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค

SC มีชื่ออยู่แล้วว่าเป็นผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ  ที่ใช้แนวคิด Human-Centric โดดเด่นในเรื่อง living  + solutions

นอกจากการดีไซน์และออกแบบสินค้า ทั้งฟังก์ชันการใช้งาน และวัสดุที่ใช้ในโครงการ  ที่สำคัญ คือเรื่องของงานบริการหลังการขาย ซึ่งมุ่งสร้างเช้าที่ดีสำหรับลูกค้าทุกคน

การันตีด้วยรางวัลมากมายที่ผ่านมา จากปี 2020 ในงาน DOT Property Thailand Awards 2020  ถึง  3 รางวัลคุณภาพแห่งปี  

ซึ่ง SC ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์  คือ รางวัล Best Developer of The Year และ รางวัล Best Housing Developer Thailand 

คำถามที่สำคัญคือ การที่ SC ประกาศรุกตลาดแนวราบแบบจัดหนัก สู่แบรนด์บ้านเดี่ยว อันดับ 1 ในทุกระดับราคา มีโอกาสประสบความสำเร็จแค่ไหน?

ส่วนตัวมองว่า SC มีความพร้อมมากจากแผนงานที่ชัดเจน โดยคุณณัฐพงศ์ นายใหญ่แห่งค่าย SC ใช้คำว่า Fully loaded คือพร้อมมาก ๆ 3 ด้านด้วยกันครับ คือ

1. “ที่ดินพร้อม” ซึ่งมีงบ 25,000 ล้านบาท ลงทุน 2 ปีนี้ โอนที่ดินกว่า 30 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบครอบคลุมทุกระดับราคาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

2. “สภาพคล่องพร้อม” มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดย ณ ไตรมาส 1/64 มีระดับอัตรส่วนหนี้สินต่อทุน D/E 1.35 เท่า

3. “สินค้าพร้อม” ด้วยดีไซน์ เทคโนโลยี และบริการหลังการขาย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุค New normal และเหมาะกับความชอบของคนในวัยที่แตกต่างกัน

มีครบสามด้านนี้ก็มีชัยไปมากกว่าครึ่งแล้วครับ

ส่วนตัวเห็นการเปลี่ยนแปลงของ SC มาสักระยะหนึ่งแล้วครับ แต่เพิ่งเข้ามาดูจริงจังตอนที่ประกาศผลประกอบการแล้วทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

1. การที่ SC หันมาเน้นตลาดแนวราบมากขึ้น เป็นสิ่งที่เค้าถนัดอยู่แล้วครับ เท่ากับว่าเป็นการทำธุรกิจบนเกมของตัวเอง ไม่ได้เล่นบนเกมของคนอื่น ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างมาก

2. ส่วนตัวชอบที่ SC พัฒนาโครงการโดยมองจากความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหลัก

สังเกตจากการที่ SC ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้พัฒนาอสังหาฯเท่านั้น แต่เปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจให้เป็น living solutions provider ช่วยดูแลลูกบ้าน

เช่น “รู้ใจคลับ” ที่จะมีบริการต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ลูกบ้านมีชีวิตที่สบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริการแม่บ้าน, บริการดูแลรักษาบ้าน, บริการด้านสุขาภิบาล และยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของบ้านด้วย เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร, สภาพอากาศที่ผิดปกติ และระบบปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น

3. ผู้บริหารของ SC มองรอบด้านจริง ๆ ครับ ไม่ได้มองแค่จะเป็นที่หนึ่งในแง่ของยอดขาย แต่มองว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า เป็นแนวคิดที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

#ถามอีกกับอิก

#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย

ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน คลิกเลย

#ถ้าไม่อยากพลาดแนวคิดการลงทุนและไอเดียการลงทุนดีๆ อย่าลืมกด subscribe และ กดกระดิ่งนะครับ คลิกเลย

Exit mobile version