ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บิดานักลงทุนหุ้นคุณค่าของไทย ได้พูดถึงสไตล์การลงทุนของปู่บัฟเฟตต์ที่เริ่มเปลี่ยนไปว่า บัฟเฟตต์คงเห็นแล้วว่า สิ่งที่เขาได้ลงทุนในเวลานี้เริ่มล้าสมัยลง เพราะเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น หลายบริษัทก็เป็นผู้นำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจที่เป็น Old Economy เริ่มกลายเป็นหุ้นเก่าแก่หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นจุดอิ่มตัวแล้ว
สำหรับเหตุผลที่ทำไมบัฟเฟตต์ถึงไม่สนใจภาพรวมทางเศรษฐกิจนั้น ปกติบัฟเฟตต์มองว่าภาวะเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นที่เข้ามา เขาจึงให้ความสำคัญกับหุ้นแต่ละตัวเป็นหลักมากกว่า และหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อนั้น ต่อให้ราคาหุ้นตกลง เขาก็ยังได้เงินปันผลเก็บเอาไว้อยู่ดี ดังนั้นเมื่อใดที่หลายคนกลัวจนแห่เทขายหุ้น แต่สำหรับบัฟเฟตต์แล้วนั้น เขามองว่าเป็นช่วงเวลาที่ควรซื้อหุ้น อย่างที่บัฟเฟตต์เคยกล่าวว่า ในช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังเชียร์กันอยู่นั้น ถือเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด
คำถามที่ว่า ประเทศในแถบยุโรปมีความน่าลงทุนหรือไม่นั้น ในระยะยาวประเทศในแถบยุโรปกลายเป็นเป็นประเทศที่แก่ตัวมากขึ้น จะเห็นได้ว่าวิกฤตรัสเซียกับยูเครนตอนนี้ ยุโรปมีการเปิดรับผู้อพยพมากขึ้นและสามารถรับสัญชาติในประเทศนั้นได้เป็นการถาวร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุโรปขาดบุคลากรจำนวนมาก
ในส่วนมุมมองของประเทศไทยมีโอกาสเติบโตในมุมไหนบ้างนั้น เมืองไทยเจริญเร็วมาอย่างยาวนานมาก เพิ่งมาสะดุดตอนหลัง ๆ นี่เอง แต่เราก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ เมืองไทยเป็นแบบนี้มาหลายรอบแล้ว ปัญหาหนัก ๆ คิดว่าไม่มีทางไปแล้ว สุดท้ายก็ปรับตัวได้ แต่หากถามว่าจะกลับไปเติบโตแบบเดิมได้หรือไม่ ก็ตอบว่าคงเป็นเรื่องยาก ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบอย่างเช่นเปิดประเทศให้ทุกคนสามารถเข้ามาได้เลย และเอาคนเก่ง ๆ เข้ามาในประเทศไทยเยอะ ๆ ให้สิทธิ์กับพวกเขาอย่างเต็มที่ แต่หากประเทศไทยยังเดินแบบนี้อยู่คงเป็นเรื่องยากที่จะเติบโตต่อไปได้ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในโลกของการลงทุน ต้องเป็นอิสระและอย่าตามกระแส ที่สำคัญคือต้องศึกษาให้มาก ๆ อย่ามองว่าหุ้นตัวไหนดีโดยไม่ได้ศึกษาพื้นฐานให้ดีก่อน หมายควาว่าต้องมีเหตุผลในการเลือกลงทุนเพื่อให้สามารถอยู่รอดในตลาด