เมื่อ สีจิ้น ผิง มีแนวคิดผลักดันให้ “มาเก๊า” เป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่แทนฮ่องกง
#ถันอี้ #谈亿 #ถามอีกกับอิกเรื่องลงทุนจีน
เคยได้ยินไหมครับว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
=======
สัปดาห์หน้าวันที่ 20 ธันวาคมนี้ เป็นวันที่สำคัญของ “มาเก๊า” ครับ เป็นปีที่ครบรอบ 20 ปีพอดิบพอดีที่กลับสู่ภายใต้การปกครองของจีน หลังจากที่โปรตุเกสปกครองก่อนหน้านั้นครับ (ส่งมอบคืนจีนในปี 2542)
มาเก๊า อยู่ภายใต้ “หลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบของจีน”ครับ ในฐานะเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีระบบการค้าและระบบการเงินที่เสรีคล้าย ๆ กับฮ่องกงครับ
=======
ทำไมปีนี้ถึงสำคัญมาก ๆ สำหรับมาเก๊า?
เพราะเป็นปีที่ผู้นำจีนจะเดินทางไปด้วยตัวเอง และแหล่งข่าวจาก Reuters แจ้งว่า คุณสี จิ้น ผิง กำลังจะประกาศนโยบายสำคัญ คือให้มาเก๊าเป็นศูนย์กลางทางการเงินใหม่
ตอนนี้เป็นที่ฮือฮาในตลาดการเงินโลกอย่างมากตลอดทั้งวันนี้ครับ
=======
ทำไมจีนถึงอยากให้มาเก๊าเป็นศูนย์กลางทางการเงินแทนฮ่องกง?
1. ยังไม่มีใครรู้ว่าเหตุประท้วงในฮ่องกงจะจบลงเมื่อไหร่ และจะจบยังไงส่งผลทำให้เศรษฐกิจฮ่องกงดำดิ่งล่าสุดลดลง 3.2% ในไตรมาสที่ 3
2. แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ “ความเชื่อมั่น” ครับ เพราะมีเสียงสะท้อนจากเอกชนยักษ์ใหญ่ระดับโลกรวมถึงสถาบันการเงินระดับโลกมากมาย บอกว่าถ้าเหตุการณ์ประท้วงยังไม่จบ อาจจะย้ายสำนักงานและเงินทุนไปสิงคโปร์ (สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มขาดความเชื่อมั่นแล้ว)
3. รัฐบาลสิงคโปร์เองก็ไม่รอช้าครับ เรียกให้ธนาคารยักษ์ใหญ่เข้ามาคุยแม้ว่าจะคุยยังไม่จบแต่ก็พอจะคาดการณ์ได้ครับว่าสิงคโปร์คงจะจัดสิทธิประโยชน์แบบจัดหนัก จัดเต็มแน่ๆครับ
4. นี่เลยเป็นเหตุผลว่าจีนต้องทำอะไรบางอย่างก่อนที่จะสายไปครับ เพราะฉะนั้นเหตุผลที่จะผลักดันให้มาเก๊าเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ก็เพื่อกระจายความเสี่ยงจากฮ่องกงนั่นเองครับ
=======
มาเก๊ามีดีอะไร?
มีดีมากกว่าการเป็นคาสิโนและขนมทาร์ตไข่ แน่ ๆ ครับ
1. แม้ว่าตัวเลข GDP ปี 2560 ของมาเก๊ามีเพียง 5 หมื่นล้านเหรียญหรือ กว่า 1.5 ล้านล้านบาท เล็กกว่าประเทศไทยเกือบ 10 เท่า (แต่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจมาเก๊าสุดโหดครับ โต 3 เท่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาครับ)
2. และตัวเลขที่น่าสนใจคือ GDP ต่อประชากรครับ เฉลี่ยสูงถึง 8.2 หมื่นเหรียญสูงเป็นอันดับที่สามของโลกรองจากลักเซมเบิร์กและสวิตเซอร์แลนด์
3. ตัวเลขที่น่าตื่นเต้นกว่าคือ GDP ต่อประชากรของมาเก๊ามากกว่าจีนถึง 11 เท่า, มากกว่าฮ่องกงเกือบเท่าตัวและมากกว่าไทย 12 เท่า
4. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าปีหน้ามาเก๊าจะมีรายได้ต่อหัวมากที่สุดในโลก!
เริ่มน่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ
5. หลัก ๆ รายได้ของประเทศส่วนใหญ่ สัดส่วน 80% มาจากคาสิโน และแหล่งบันเทิง (เป็นความเสี่ยงของประเทศในแง่ที่ฝากความหวังไว้กับแหล่งบันเทิงมากเกินไป)
=======
ทำไม “ถามอีก” เชื่อว่ามาเก๊าจะทำสำเร็จ?
ปกติตามธรรมชาติของจีน ก่อนที่จะประกาศอะไรเค้าจะคิดรอบคอบและลงมือทำโดยทันทีครับ มาวิเคราะห์ขั้นตอนของเค้ากันครับ
1. แผนระยะสั้นของจีนคือ จะสนับสนุนให้มีการระดมทุนและซื้อขายพันธบัตรก่อน จุดประสงค์คือจะผลักดันให้บริษัทมาเก๊า และจีนออกหุ้นกู้ เพื่อศึกษาและเรียนรู้การทำธุรกิจร่วมกัน
2. มีโอกาสที่จะทับซ้อนกับฮ่องกงไหม? ไม่จำเป็นครับ เพราะเป้าหมายหลัก ๆ ของการระดมทุนครั้งนี้คือตลาด startup และ บริษัทเอกชนที่พูดภาษาโปรตุเกสเป็นหลักครับ (มาเก๊า เคยถูกปกครองโดยโปรตุเกส) ซึ่งเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกับฮ่องกง
3. ลำดับต่อไปจีนจะตั้งตลาดหลักทรัพย์ในมาเก๊า โดยใช้เงินหยวนในการซื้อขาย (ความต้องการเงินหยวนจะมากขึ้น และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากขึ้น)
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ บอกว่าทีมผู้บริหารที่อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งตลาดฯเซี่ยงไฮ้ เดินทางไปไต้หวัน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้แล้ว
4. ระยะกลาง จีนจะให้มาเก๊าเข้าเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) พร้อมกับลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบจัดหนักจัดเต็ม เพื่อให้การเดินทางสะดวกทันสมัย
5. ส่วนระยะยาวจะผลักดันให้มาเก๊าเป็นศูนย์กลางการเงิน ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว และการประชุมในระดับนานาชาติเหมือนกับที่สิงคโปร์ทำได้แล้ว
=======
ทำไมถึงมองว่า… มาเก๊าจะไม่ซ้ำรอยเหมือนฮ่องกง
เรื่องนี้มีหลายเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ครับ
1. ในอดีตตอนที่ โปรตุเกสปกครองมาเก๊า เริ่มมีกระแสไม่พอใจหลายอย่างหนักถึงขั้นปะทะกันก็มี ทำให้หลายเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิต
ทำให้คนมาเก๊าบางคนเริ่มประท้วงบางคนไม่ทำงานไม่ค้าขายกับชาวโปรตุเกส
2. นั่นเลยเป็นผลที่โปรตุเกสเองก็อยากคืนมาเก๊า ให้จีนก่อนกำหนดด้วยซ้ำ (ตามประวัติศาสตร์จีนเองก็เริ่มเข้ามา แอบบริหารจัดการมาเก๊าประมาณ 15-20 ปีก่อนที่จะส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่มีปัญหาอะไรในช่วงเปลี่ยนผ่าน)
3. แต่ถ้ามองกันลึกๆจริง ๆ แล้ว ตัวที่ทำให้โอกาสที่จะเกิดปัญหาแบบฮ่องกงน้อย เป็นเพราะมาเก๊าไม่มีปัญหาปากท้องของประชาชนครับ
เพราะนโยบายนึงที่เห็นคือ รัฐบาลแบ่งรายได้จากคาสิโน (ได้จากนักท่เองเที่ยว) และแหล่งบันเทิงให้ประชาชนมากถึงเดือนละเกือบ 4 หมื่นบาท แบบให้เปล่า
“รายได้ของมาเก๊า ที่ได้รับจากคาสิโน ปีล่าสุด 2018 สูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท” เป็นภาษีที่เก็บเข้ารัฐบาลสูงถึง 4 แสนล้านบาท เพราะฉะนั้นจ่ายได้สบาย ๆ
และยังสนับสนุนการเรียนแบบสุด ๆ ให้มีการศึกษาสูง ๆ และไม่ต้องเก็บภาษีเยอะ
พอประชาชนแฮปปี้ไม่มีปัญหาปากท้อง ก็เลยไม่ค่อยกังวลมากนัก (อสังหาฯก็ไม่ได้แพงหูฉี่เหมือนในฮ่องกง) ทำให้ไม่มีปัญหาอย่างที่เราเห็นในฮ่องกง
=======
“ถามอีก” ตกผลึกอะไรจากเรื่องนี้?
มองผิวเผินอาจจะคิดว่าการขยับตัวรอบนี้ของพญามังกรช้าไปหรือป่าวกับปัญหาในฮ่องกง
แต่ถ้ามองให้ลึกๆจะเห็นว่า รอบนี้จีนเดินเกมได้ดีครับ ไม่เข้าไปทำอะไรผลีผลามในฮ่องกงเพราะจะถูกเป็นเป้าของมหาอำนาจได้
เคยได้ยินไหมครับว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
แต่รอบนี้จีนยังไม่ทันยิงปืนเลยครับ ก็ได้นกทั้งสองตัวเลยครับ
คือ 1. มาเก๊า ไม่ได้ทำตัวมีปัญหาอะไรก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่
แต่นกตัวที่ 2 คือ ถ้าฮ่องกงยังมีปัญหาไปเรื่อย ๆ ทางจีนเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญเท่ากับในอดีต เพราะตอนนี้มีทางออกในการกระจายความเสี่ยงไปที่อื่นแล้ว
======
จะเห็นว่า ฮ่องกงมีปัญหา… สิงคโปร์ก็แอบเดินเกมรุกแบบเงียบ ๆ
จะเห็นว่า ฮ่องกงมีปัญหา… จีนก็เดินเกมกระจายความเสี่ยง และส่งสัญญานให้เห็นแบบชัด ๆ
คำถามคือ แล้วเราละครับทำอะไรกันอยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์แบบนี้ครับ?
พร้อมตั้งรับความเสี่ยง และคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นหรือไม่ครับ?
======
#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต
#ถันอี้ #谈亿 #ถามอีกกับอิกเรื่องลงทุนจีน